ตอนนี้ก็โสดจนเซ็งจะตายอยู่แล้ว
ยังจะเอาอะไรกับคนโสดอีก !?
นี่คงเป็นหนึ่งในเสียงตอบรับจากคนที่ได้ยินเรื่องของการที่มีแนวคิดหรือข้อเสนอให้มีการจับเก็บภาษีคนโสดให้เกิดขึ้นในประเทศไทย
โดยแนวคิดที่ว่านี้ ได้เสนอให้มีการจัดเก็บภาษีคนโสดขึ้นมา โดยผู้ใดที่กำลังโสด
(หรือไม่อยากโสด เพียงแต่ลงมาจากคานไม่ได้ก็เท่านั้น)
ก็จะต้องถูกให้เสียภาษีเพิ่มขึ้น
เรื่องนี้จึงเป็นที่ฮือฮาและถูกวิพากษ์วิจารณ์กันเป็นอย่างมากจนกลายเป็นทอร์คออฟเดอะทาวน์
(talk of the town) ในช่วงนี้
หลายคนอาจจะบ่นว่าถ้าจะอยู่บนคานแล้วทำไมจะต้องเสียภาษีบนคานอีก
อีกทั้งเรื่องนี้ยังพัวพันไปถึงเพศที่สามที่ไม่สามารถแต่งงานได้
ทำให้อาจนำไปสู่ปัญหาเรื่องการแบ่งแยกชนชั้น (discriminate) ขึ้นมาอีกเรื่องหนึ่งโดยไม่รู้ตัว
แท้ที่จริงแล้ว
เรื่องนี้มีวาระซ่อนเร้น (hidden agenda) อยู่ที่เรื่องการจัดการสัดส่วนประชากรหรือประชากรศาสตร์ของประเทศ ระหว่างคนวัยทำงานกับคนสูงอายุให้อยู่ในปริมาณที่เหมาะสม
ยกตัวอย่างเช่น ในประเทศจีนเอง ก็มีการออกระเบียบการของการมีลูก
ซึ่งขึ้นกับเงื่อนไขของตระกูลโคตรเหง้าว่ามีผู้สืบสกุลมาแล้วกี่คน
ถ้าต้นตระกูลมีลูกน้อย ก็อะลุ่มอล่วยให้มีลูกได้มากกว่า 1 คน
แต่ถ้าต้นตระกูลของทั้งฝั่งผู้ชายและผู้หญิงนั้นมีลูกมากกว่า 1 คน
แล้วก็จะต้องเสียเงินในรูปของค่าปรับหรือภาษีเพิ่มเติมในกรณีที่ครอบครัวนั้นยังมีลูกมากกว่า
1 คนขึ้นมาอีก เป็นต้น
ส่วนประเทศสิงคโปร์เองนั้นก็จะมีกฎระเบียบที่ออกมาในรูปแบบของการลดหย่อนภาษี
สำหรับคนที่ไม่โสด (หรือได้แต่งงานอยู่ด้วยกัน)
หนำซ้ำทางรัฐยังถึงขั้นส่งจดหมายเชิญไปถึงคนโสดที่ยังไม่แต่งงานให้มีการชุมนุมพบปะประสาคนโสดเป็นประจำทุกเดือนด้วย
เพื่อที่คนในประเทศจะได้มีคู่กัน เรียกได้ว่ารัฐบาลคอยเป็นกามเทพให้เสียเอง
พวกจับคู่หารัก (matchmaker) จึงค่อนข้างนิยมกันมากในสิงคโปร์
จากตัวอย่างของประเทศจีนและสิงคโปร์นั้น
จะเห็นได้ทางภาครัฐได้ใช้ภาษีเป็นเครื่องจูงใจพฤติกรรมของคนในประเทศในการควบคุมปริมาณประชากรให้มีสัดส่วนที่เหมาะสม
โดยจีนนั้นต้องการจะจำกัดจำนวนประชากร ซึ่งตรงข้ามกับสิงคโปร์ที่ต้องการจะเร่งผลิตจำนวนประชากร
จะเห็นได้ว่า
ประเทศไทยเองก็กำลังจะประสบกับปัญหาที่มีประชากรผู้สูงอายุอยู่มากจากยุคเบบี้บูมเมอร์
(baby boomer) ทำให้ภาครัฐมีเงินไม่พอไปเลี้ยงคนกลุ่มนี้ในอนาคต
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คนไทยเริ่มจะมีลูกน้อยลง ทำให้ประชากรที่อยู่ในวัยทำงานค่อยๆ
เหลือน้อยลงเมื่อเทียบกับประชากรที่อยู่ในวัยเกษียณที่กำลังเพิ่มมากขึ้น
และนั่นจึงเป็นสาเหตุที่มีแนวคิดอยากให้คนไทยหันมาแต่งงานและมีลูกกันมากขึ้น
เพื่อให้เด็กที่เกิดมานี้ เป็นกำลังสำคัญในการจ่ายภาษีเข้ารัฐ
และเกื้อหนุนกลุ่มคนเกษียณอายุที่ขยายตัวขึ้นอย่างก้าวกระโดด
ซึ่งจะทำให้รัฐดูแลไม่ไหวในอนาคตอันใกล้นี้ !!!
แต่สิ่งที่แนวคิดเรื่องภาษีคนโสดนี้ได้มองข้ามไปก็คือ
การมีลูกมากไม่ได้หมายความว่าจะเก็บได้ภาษีมากในอนาคต
มิหนำซ้ำยังอาจจะเป็นภาระของรัฐบาลในการจัดงบประมาณเพื่อขัดเกลาส่งเสริมการศึกษาให้อยู่ในระดับมาตรฐาน
เพราะถ้าบุคคลากรของประเทศได้ผลิตออกมาอย่างไม่มีคุณภาพ
ไม่เพียงแต่รัฐจะจัดเก็บภาษีไม่ได้ แต่อาจนำมาซึ่งปัญหาของยาเสพติด ทะเลาะวิวาท
รวมถึงการโจรกรรมต่างๆ นานาในภายหลัง
สิ่งสำคัญที่ควรจะพิจารณาในการวางแผนประชากรและจัดเก็บภาษีสำหรับอนาคตก็คือ
การพัฒนาการวางแผนการเงินอย่างบูรณาการและยั่งยืนของประชาชนในประเทศ
ซึ่งภาครัฐสามารถเตรียมความพร้อมของคนในยุคเบบี้บูมเมอร์ (baby boomer)
ที่กำลังจะเกษียณ ให้รู้จักการออมสำหรับยามเกษียณได้
ถ้าลองคิดตามกันดูแล้วก็คงจะเห็นว่าวิธีการนี้น่าจะเป็นการแก้ปัญหาที่ต้นเหตุได้ดีที่สุด
ดังนั้น
แทนที่จะไปเก็บ “ภาษีคนโสด” เพื่อแก้ปัญหาประชากรผู้สูงอายุในอนาคต ผมว่า
“การเพิ่มค่าลดหย่อนภาษีจากการซื้อประกันชีวิต”
น่าจะเป็นทางเลือกที่แก้ปัญหาประชากรผู้สูงอายุได้เหมือนกัน
แต่ดีกว่าการไปเก็บภาษีจากคนโสดหลายเท่า เนื่องจากการไปจัดเก็บภาษีคนโสดนั้นถึงแม้ว่าจะช่วยแก้ปัญหาได้อย่างหนึ่ง
แต่มันอาจไปทำให้เกิดปัญหาต่างๆ เพิ่มขึ้นมาอีกหลายอย่าง
เรียกได้ว่าการเก็บภาษีคนโสดเป็นการแก้ปัญหากันไม่ถูกจุดเสียมากกว่า
หากภาครัฐใส่เครื่องจูงใจให้ประชาชนหันมาออมเงินกันมากขึ้น
ขอให้แต่ละคนมีการวางแผนทางการเงินที่ดีพอ
ไม่ต้องรอพึ่งพึงสวัสดิการจากรัฐเมื่อยามเกษียณก็ได้ เพราะอนาคตมันไม่แน่นอน
จริงไหมครับ?
·
[ พิเชฐ เจียรมณีทวีสิน
(ทอมมี่) – ปัจจุบันดำรงตำแหน่งรองประธานบริษัทเอไอเอ รองนายกสมาคมนักคณิตศาสตร์ประกันภัยแห่งประเทศไทย
และประธานคณะอนุกรรมการคณิตศาสตร์ประกันภัยของสมาคมประกันชีวิตไทย ]