วันนี้ผมขอหยิบยกเรื่องของทฤษฎีประกันมาคุยบ้าง
โดยจะมาทำความเข้าใจกับคำ 3 แบบที่ได้ยินกันอยู่บ่อยๆ
และดูเหมือนว่าจะแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง แต่จริงๆ
แล้วมันมีหลักการและที่มาที่คล้ายคลึงกันในลักษณะของการนำเงินจ่ายเข้ามาไว้เป็นเงินกองกลาง
(Pooling)
และลักษณะของการยอมรับความเสี่ยง (Risk) อยู่
การพนัน (Gamble) หมายถึง การเล่นชนิดหนึ่งเพื่อเอาเงินหรือสิ่งอื่นใดด้วยการเสี่ยงโชค
โดยการทำนายหรือคาดเดาผลที่เกิดขึ้นในอนาคต การพนันอาจแบ่งได้หลายอย่าง เช่น 1)
การพนันในการแข่งขัน ตัวอย่างเช่น เกมไพ่ เกมลูกเต๋า เป็นต้น 2)
การพนันโดยการทำนายผลที่คาดว่าเกิดขึ้นในอนาคตเช่น การแทงบอล การแทงม้า เป็นต้น
และ 3) การพนันที่ไม่มีการแข่งขันโดยขึ้นกับความน่าจะเป็นของเหตุการณ์ที่เกิดเช่น
หวย เป็นต้น
การประกันภัย (Insurance) คือ การบริหารความเสี่ยงภัยวิธีหนึ่ง
ซึ่งจะโอนความเสี่ยงภัยของผู้เอาประกันภัยไปสู่บริษัทประกันภัย
เมื่อเกิดความเสียหายขึ้น บริษัทประกันภัยจะชดใช้ค่าสินไหมทดแทนตามที่ได้รับความคุ้มครองในกรมธรรม์ประกันภัยให้แก่ผู้เอาประกันภัย
โดยที่ผู้เอาประกันภัยจะต้องเสียเบี้ยประกันภัยให้แก่บริษัทประกันภัยตามที่ได้ตกลงกันไว้
การลงทุน (Investment) และการเก็งกำไร (Speculation) จะมีความหมายเหมือนกันมาก
แต่ต่างกันตรงที่ความตั้งใจว่าจะซื้อโดยมีการพิจารณาและศึกษาอย่างรอบคอบอย่างมีเหตุมีผล
ซึ่งสินทรัพย์นั้นจะให้ผลตอบแทนตามสมควร ไม่ว่าจะเป็นในรูปของเงินปันผลหรือดอกเบี้ยก็ตาม
อีกทั้งยังคาดหวังถึงมูลค่าเพิ่มขึ้นในระยะยาวอีกด้วย (Capital
Appreciation) ส่วนการเก็งกำไรนั้นจะเป็นการซื้อเพื่อขายหวังเอาผลกำไรที่มากขึ้น
ตามหลักการทางคณิตศาสตร์ประกันภัยนั้นจะมีภาษาทางคณิตศาสตร์อยู่ตัวหนึ่งที่เรียกว่า
“ค่าคาดหวัง (Expected
Value)” ซึ่งหมายถึงการเอาทุกอย่างมาเฉลี่ยกันหมดเพื่อหาค่ากลางออกมา
ผลลัพธ์ที่มีความผันผวนออกห่างจาก “ค่าคาดหวัง” จึงเรียกว่า “ความเสี่ยง (Risk)”
นั่นเอง
1. การพนัน (Gamble) จะออกแบบให้มี
“มูลค่าของค่าคาดหวัง (Expected Value) จากการถูกรางวัล” น้อยกว่า
“ค่าเฉลี่ยของเงินพนันที่ผู้พนันจ่ายไปทั้งหมด” เพื่อที่จะทำให้ผู้รับพนันยังมีกำไรอยู่
แต่สิ่งที่ผู้พนันได้ซื้อไปก็คือการได้ลุ้นและหวังที่จะได้รางวัลนั่นเอง
เราเรียกคนกลุ่มนี้ว่า พวกชอบเสี่ยง (Risk Taker)
2. การประกันภัย (Insurance) จะออกแบบให้มี
“มูลค่าของค่าคาดหวัง (Expected Value)
จากการลูกค้าได้รับเงินประกัน” น้อยกว่า
“ค่าเฉลี่ยของเบี้ยประกันภัยที่ลูกค้าจ่ายไปทั้งหมด”
เพื่อที่จะทำให้บริษัทประกันภัยยังมีผลประกอบการอยู่
แต่สิ่งที่ผู้ซื้อประกันภัยได้ซื้อไปก็คือการได้รับความคุ้มครองเมื่อเกิดความสูญเสียทางการเงิน
(Financial Loss) เราเรียกคนกลุ่มนี้ว่า พวกไม่ชอบเสี่ยง (Risk
Averse)
3. การลงทุน (Investment) และการเก็งกำไร (Speculation)
จะออกแบบให้มี “มูลค่าของค่าคาดหวัง (Expected Value) จากการลงทุน” มากกว่า
“ค่าเฉลี่ยของเงินลงทุนที่ผู้ลงทุนจ่ายไปทั้งหมด”
เพื่อที่จะหวังมูลค่าจากเงินที่ได้ลงทุนไปให้สูงขึ้น และสิ่งที่นักลงทุนจะได้ไปก็คือดอกผลจากการลงทุนและเก็งกำไร
ซึ่งนักลงทุนเหล่านี้ก็มีทั้งกลุ่มที่ชอบเสี่ยงและกลุ่มที่ไม่ชอบเสี่ยงอยู่รวมกัน
จะสังเกตได้ว่าทั้ง
3 แบบนี้มีลักษณะการเอาเงินมารวมเป็นกองกลาง (Pooling) กันก่อนแล้วจึงค่อยกระจายออกไปให้แต่ละคน
ซึ่งถ้าเป็นพวกชอบเสี่ยง (Risk Taker) ก็จะกลายเป็นนักพนันไป
ถ้าเป็นพวกที่ไม่ชอบเสี่ยง (Risk Averse) ก็กลายเป็นการซื้อประกันไป
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ค่าเฉลี่ยที่ได้ออกมาเป็น “ค่าคาดหวัง (Expected
Value)” นั้นจะน้อยกว่า “เงินที่นำเข้าไปในเงินกองกลาง (Pooling)”
อยู่แล้ว เพื่อให้เจ้ามือและบริษัทประกันดำเนินงานอยู่ได้ ส่วนการลงทุน
(Investment) และการเก็งกำไร (Speculation) ก็ถือว่าเป็นอะไรที่ใส่เงินลงไปแล้วคาดหวังว่าจะได้กลับมามากขึ้น
ตอนนี้คงพอทราบแล้วใช่ไหมครับว่าคุณเป็นคนที่ชอบแบบไหน