มาคราวนี้เป็นคำถามที่มีคนตั้งข้อสังเกตว่า
ถ้ามีเงินอยู่ 500 บาท คนไทยจะเอาเงินไปทำอะไรกัน ระหว่างการซื้อลอตเตอรี่ ทิชชู่ หรือประกัน
ซึ่งผู้อ่านที่เป็นคนไทยด้วยกันก็คงตอบไม่ยาก และคำตอบก็ไม่ได้น่าแปลกใจเลยถ้าคนไทยจะเลือกซื้อลอตเตอรี่ก่อน
หลังจากนั้นจึงมาซื้อกระดาษทิชชู่ ส่วนประกันนั้นก็ถูกลืมไปในที่สุด
เพราะเงินในกระเป๋าหมดพอดี
แปลกตรงที่ทั้ง
3 สิ่งนั้นเป็นกระดาษเหมือนกัน
แต่คนไทยกลับมองเห็นความสำคัญของลอตเตอรี่มาก่อนสิ่งอื่น
ส่วนประกันกลับกลายเป็นสิ่งที่คนไทยหลายคนได้มองข้ามกันไป
เราจะลองมาวิเคราะห์กระดาษทั้ง
3 แบบนี้โดยเริ่มจากกระดาษทิชชู่หรือที่เรียกกันทั่วไปว่ากระดาษชำระ
กระดาษทิชชู่เป็นสินค้าอุปโภคบริโภค
(Consumer
product) ที่สามารถจับต้องได้ และนำมาใช้ประโยชน์ได้จริง
การที่คนซื้อกระดาษเหล่านี้ไปก็เพื่อจะเอาไปใช้งาน และเมื่อใช้ก็จะหมดไป
ทำให้ต้องหาซื้อใหม่เรื่อยๆ ซึ่งว่าง่ายๆ
ก็คือกระดาษทิชชู่นั้นเป็นของใช้ในชีวิตประจำวันที่คนไทยขาดไม่ได้นั่นเอง ดังนั้น
เราจะยกประโยชน์ให้จำเลยที่เป็นกระดาษทิชชู่ในที่นี้ไป
ส่วนลอตเตอรี่หรือหวยนั้นก็เป็นของคู่กับคนไทยมาแต่ไหนแต่ไร
เนื่องด้วยคนไทยชอบเสี่ยงโชคและเป็นคนมองโลกในแง่ดี (อีกทั้งยังฝันแม่น)
โดยเฉพาะอย่างยิ่งจะมีเพื่อนฝูงและญาติพี่น้องเข้ามาช่วยอวยพรเลี้ยงฉลองและเงินไปใช้ตอนที่เจ้าตัวถูกหวย
เคล็ดลับสำหรับคนที่เพิ่งเคยถูกหวยก็คือเอาเงินที่ได้ทั้งหมดนั้นไปจ่ายหนี้ก่อน
แล้วกันอีกบางส่วนไว้ลงทุน หลังจากนั้นจึงค่อยบอกคนอื่นว่าตัวเองถูก
หลักการของลอตเตอรี่นั้นก็รู้ๆ
กันอยู่ว่าทุกคนจะต้องจ่ายเงินส่วนหนึ่ง (เช่น การซื้อสลากกินแบ่งรัฐบาล เป็นต้น)
เพื่อนำเงินเข้ามาในกองทุนก่อน แล้วหลังจากที่หักค่าใช้จ่ายและส่วนกำไรออกมาแล้ว
จึงจะค่อยแบ่งเงินที่เหลือออกมาเป็นรางวัลต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นรางวัลที่ 1
หรือรางวัลเลขท้ายก็ตาม ซึ่งก็รู้มูลค่าของรางวัลอยู่แล้วว่าจะต้องจ่ายแต่ละรางวัลเมื่อไรและเท่าไร
เพราะฉะนั้น
จะเห็นได้ว่าการขายสลากกินแบ่งรัฐบาลหรือลอตเตอรี่นั้นจะไม่มีวันขาดทุนอย่างแน่นอน
เพราะต้นทุนและราคาทุกอย่างได้ถูกกำหนดไว้ล่วงหน้าแล้ว
ส่วนคนซื้อลอตเตอรี่ก็คงรู้อยู่เต็มอกว่าค่าเฉลี่ยของสิ่งที่จะได้กลับคืนมา
(ภาษาคณิตศาสตร์เรียกว่าค่าคาดหวัง หรือ Expected Value) นั้นมีมูลค่าน้อยกว่าราคาที่เสียเงินซื้อไปแน่นอน
เพียงแต่การซื้อลอตเตอรี่นั้นจะได้ความสนุกในการเสี่ยงโชคกับการได้ลุ้นและได้ฝันไปด้วย
และแล้วก็มาถึงแผ่นกระดาษแบบสุดท้ายที่คนมักจะลืมกัน
นั่นก็คือ “ประกันภัย”
เพราะเป็นอะไรที่ซื้อแล้วอาจไม่ได้ใช้หรือไม่ได้เห็นทันตาเหมือนกับการซื้อกระดาษทิชชู่
(ที่หยิบไปด้วยเวลาเข้าห้องน้ำ) หรือซื้อลอตเตอรี่ (ที่ได้ลุ้นอยู่ทุกๆ 15 วัน)
หลักการของประกันภัยนั้นจะรวบรวมเงินของแต่ละคนในรูปแบบของเบี้ยประกันภัย
เพื่อนำเงินเข้ามาไว้กับบริษัท ซึ่งบริษัทก็จะนำเงินมาลงทุนเพื่อให้ได้ผลตอบแทน แล้วก็หักค่าใช้จ่ายและกัน
“เงินสำรองประกันภัย” ออกมาไว้ก่อนเพื่อที่จะตั้งจ่ายเป็นเงินคืนให้กับลูกค้าในอนาคต
ส่วนกำไรจะเป็นเท่าไรนั้นก็ต้องขึ้นกับว่าต้นทุนจะเกิดขึ้นเมื่อไรและเท่าไร
ซึ่งไม่เหมือนกับลอตเตอรี่ที่กำหนดรางวัลเอาไว้อยู่แล้วตายตัวว่าจะจ่ายเมื่อไรและเท่าไร
เมื่อเป็นดังนี้ ก็จะเห็นได้ว่าการขายประกันนั้นอาจจะขาดทุนได้ถ้าประมาณการต้นทุนได้ไม่ถูกต้อง
สิ่งที่เหมือนกันระหว่างลอตเตอรี่กับประกันก็คือ
ค่าคาดหวังค่าเฉลี่ยของสิ่งที่จะได้กลับคืนมานั้นจะมีมูลค่าน้อยกว่าราคาที่เสียเงินซื้อไป
เพราะแน่นอนว่าคงไม่มีใครอยากขายของขาดทุนเป็นแน่
แต่สิ่งที่ประกันแตกต่างกับลอตเตอรี่ก็คือประกันจะทำหน้าที่คุ้มครองลูกค้าในเวลาที่เกิดความสูญเสียทางการเงิน
(Financial
loss) ที่ไม่คาดฝันขึ้น
(โดยจะจ่ายทุนประทันเป็นเงินคืนให้กับลูกค้า) ขณะที่ลอตเตอรี่จะจ่ายเงินให้กับคนที่ซื้อก็ต่อเมื่อคนๆ
นั้นถูกหวยตามที่ตัวเองได้คาดฝันเอาไว้
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น