ครั้งที่แล้วได้มีโอกาสเอ่ยถึงอาชีพ
“แอคชัวรี” หรือ “นักคณิตศาสตร์ประกันภัย” ว่าทำไมจำเป็นต้องมีอยู่ในบริษัทประกันภัยไปพอสมควร
มาคราวนี้จึงขอยกเรื่องที่เคยได้ยินมาบ่อยๆ ตั้งแต่ก่อนที่ผมจะเข้ามาในวงการประกันเสียอีก
เนื่องจากชอบมีคนพูดกันว่า “บริษัทประกันเป็นเหมือนเสือนอนกิน”
หลายคนในที่นี้คงเคยได้ยินคำว่าเสือนอนกินกันอยู่บ้าง
และก็มีไม่น้อยที่คิดว่าบริษัทประกันนั้นขายแค่กระดาษและก็คอยเป็นเสือนอนกิน เพราะเก็บเบี้ยประกันภัยเข้ามาก่อน
แต่เวลาจ่ายเคลมนั้น ดูเหมือนจะเข้มงวดกันเสียเหลือเกิน
อย่างนี้บริษัทประกันภัยคงต้องมีกำไรมหาศาลเลยแน่ๆ
จะเป็นจริงหรือไม่นั้น เราค่อยๆ มาดูกันดีกว่าครับ
ว่าที่มาที่ไปของกำไรที่ว่านั้นมันมาอย่างไร
ก่อนอื่นก็คงต้องเริ่มจากเบี้ยประกันภัยที่รับเข้ามาก่อน
เพราะนี่ถือว่าเป็นรายรับของบริษัทอยู่แล้ว และเมื่อได้รับเบี้ยประกันเข้ามาแล้ว
บริษัทก็จะนำเงินก้อนนี้มาลงทุนให้เกิดดอกออกผล
เพราะคงจะไม่มีใครที่เอาเงินมาแล้วเก็บใส่ไว้ในตุ่มเฉยๆ
แต่การลงทุนของบริษัทประกันภัยนั้น จะต้องลงทุนแบบมีเหตุมีผล
แบบว่าไม่เสี่ยงจนเกินไปและก็ไม่น้อยจนเกินไป โดยบริษัทจะต้องเจียมเนื้อเจียมตัว
และพึงสังวรณ์อยู่เสมอว่าเงินทุกบาททุกสตางค์ที่นำมาลงทุนอยู่นั้น
คือเงินของผู้เอาประกันภัยที่หวังจะได้รับความคุ้มครองจากการสูญเสียทางการเงิน (financial
loss) บางอย่างขึ้นในอนาคต
แน่นอนว่าในสินค้าใดๆ ก็ตาม เมื่อมีการขายเกิดขึ้นแล้ว
บริษัทต้องจ่ายค่าคอมมิชชั่นหรือค่าบำเหน็จให้กับฝ่ายขายที่ไม่ว่าจะเป็นตัวแทนหรือโบรกเกอร์ต่างๆ
ซึ่งก็ต้องไม่ลืมว่าบริษัทประกันจะต้องหักค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานของบริษัทออกไปอีกด้วย
ส่วนที่เหลือหลังจากนั้นก็ต้องมาดูกันว่า เคลมหรือค่าสินไหมทดแทนที่จ่ายให้กับผู้รับประกันภัยนั้นมีมากน้อยแค่ไหน
ซึ่งพอถึงตรงนี้แล้วก็คงจะต้องอาศัยสถิติและข้อมูลล้วนๆ
ในการประเมินความเสี่ยงล่วงหน้าตามหลักการของคณิตศาสตร์ประกันภัย
ยอดขายหรือเบี้ยประกันภัย
– คอมมิชชั่นหรือค่าบำเหน็จให้กับฝ่ายขาย – ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานของบริษัท – ค่าสินไหมทดแทนที่จ่ายให้กับผู้รับประกันภัย
= ส่วนที่เหลือที่เป็นรายได้ของบริษัท
สิ่งที่น่าสนใจไปกว่านั้นก็คือ “ธุรกิจประกันภัยนั้น
ได้รับเงินมาก่อน แล้วจึงค่อยมีต้นทุนของสินค้าตามออกมาทีหลัง” ซึ่งก็คงต้องเดากันล่ะว่าต้นทุนของสินค้าในแต่ละตัวนั้นจะเป็นเท่าไร
ถ้าเดาถูกก็ดีไป แต่ถ้าเดาไม่ถูกแล้วล่ะก็บริษัทก็ขาดทุนไป แล้วถ้าลองมาคิดดูดีๆ
แล้วล่ะก็ ต้นทุนสินค้าของบริษัทประกันภัยนั้นจะขึ้นกับปัจจัยหลายๆ อย่าง
ยกตัวอย่างที่เห็นได้ชัดสำหรับการประกันชีวิต เช่น อายุ เพศ อาชีพการงาน งานอดิเรก
สุขภาพ โรคประจำตัว และอื่นๆ อีกมากมาย
ที่ทำให้ต้นทุนสินค้าหรือการเคลมของกลุ่มคนแต่ละกลุ่มนั้นมีค่าต่างกัน
ส่วนตัวอย่างของการประกันวินาศภัย
ก็ได้แก่การประกันตัวรถยนต์ที่ต้องพิจารณาตั้งแต่อายุการใช้งาน ยี่ห้อ ประเภท
หรือความแรงของเครื่องยนต์ เป็นต้น
ดังนั้น
สิ่งที่ขาดไปไม่ได้สำหรับบริษัทประกันภัยในเวลาที่ต้องกำหนดราคาสินค้าเลยก็คือ
การแบ่งกลุ่มประเภทของผู้เอาประกันภัยตามความเสี่ยง ถ้าเสี่ยงมาก
ก็ควรจะเก็บเบี้ยประกันภัยมาก ถ้าเสี่ยงน้อย ก็ควรจะเก็บเบี้ยน้อย
แต่แล้วก็มีคนถามคำถามเกี่ยวกับการซื้อประกันชีวิตขึ้นมาอีกว่า
ถ้าเก็บเบี้ยประกันภัยเฉลี่ยให้เท่ากันให้หมดไปเลย
(คนจะเสี่ยงมากหรือเสี่ยงน้อยก็เก็บเบี้ยในราคาเท่ากัน) จะไม่ดีกว่าเหรอ
จะได้ไม่ต้องมานั่งเสียเวลาในการตรวจสุขภาพ ซึ่งถ้าเป็นแบบนั้นจริง
ก็คงจะไม่ได้หรอกครับ เพราะไม่อย่างนั้นแล้ว คนที่เสี่ยงน้อยก็จะยิ่งเสียเปรียบ
กลายเป็นว่าพวกเขาเหล่านั้นจะไม่มาทำประกันภัย
แล้วก็จะเหลือแต่คนที่มีความเสี่ยงมากมาซื้อประกันเท่านั้น
ทำให้ต้นทุนที่จะเกิดขึ้นจริงๆ นั้นเกิดขึ้นสูงกว่าต้นทุนที่ควรจะเป็น
จนทำให้บริษัทประกันขาดทุนและอาจจะต้องขอปรับราคาเบี้ยประกันตามมา
เห็นไหมครับว่าก่อนที่บริษัทประกันภัยจะทำอะไรนั้น จะต้องมีการคิดไว้ล่วงหน้าเสมอ
แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะได้กำไรเสมอไปเหมือนกัน
แค่ได้กำไรพอประมาณที่คุ้มค่ากับความเสี่ยงที่บริษัทต้องรับผิดชอบไว้ก็พอแล้ว ถ้าไม่เชื่อก็สามารถถามนักคณิตศาสตร์ประกันภัยหรือแอคชัวรีกันดูได้ครับ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น