มีข่าวเรื่องหนึ่งที่ก็เกิดขึ้นมานานพอสมควรแล้ว
ผมก็เลยลองหยิบมาเขียนเป็นกรณีศึกษากับเขาบ้าง กับกรณีของธุรกิจบางประเภทที่เรียกเก็บเงินเป็นก้อนเพื่อสมัครเป็นสมาชิกและสามารถเข้าใช้บริการบางประเภท
(เช่น การออกกำลังกาย) ของบริษัทนั้นได้ตลอดชีวิต
แต่แล้วก็เกิดปัญหาขึ้นเมื่อมีบางบริษัทโดนธนาคารฟ้องทวงหนี้จนต้องฟื้นฟูกิจการ
โดนตัดน้ำ ตัดไฟ และทำให้สมาชิกไม่สามารถเข้าไปใช้บริการได้
เรื่องราวจะจบลงอย่างไรนั้นก็อยู่นอกเหนือการคาดการณ์ของคนที่อยู่นอกวงการ
แต่สิ่งหนึ่งที่ผมสามารถหยิบยกขึ้นมาคุยกันได้ก็คือ
ผลกระทบที่เกิดกับตัวลูกค้านั้นคงจะมีขึ้นไม่มากก็น้อยอยู่เป็นแน่
โดยเฉพาะคนที่เสียค่าสมาชิกแบบชำระครั้งเดียว แต่บริษัทสัญญาว่าจะให้บริการไปตลอดชีวิต
คุ้นๆ
ไหมครับว่าวิธีการแบบนี้มันเหมือนกับสินค้าของบริษัทประกันอยู่ไม่น้อย
โดยภาษาทางการของแบบประกันนั้นจะเรียกว่า ซิงเกิลพรีเมียม (Single
Premium) ซึ่งคงไม่ได้แปลว่า “พรีเมียมที่ยังโสดอยู่”
แต่มันคือแบบประกันที่ชำระเบี้ยครั้งเดียว คุ้มครองยาวๆ เช่น 10 ปี หรือ 20 ปี
เป็นต้น
ต่างกันตรงที่ตัวสินค้าสำหรับบางธุรกิจที่ไม่ได้มีเงินคืนเวลาในเวลาที่ไม่ตาย
หรือจ่ายเงินค่าสินไหมให้ในเวลาที่ตาย
เพียงแต่ธุรกิจเหล่านั้นได้สัญญาว่าจะให้บริการตลอดระยะเวลาที่กำหนดไว้
(แต่ไม่มีสิทธิ์ให้ถอน หรือถ้าถอนออกแล้วก็จะไม่ได้รับเงินคืนใดๆ)
และถ้าในสัญญาเขียนว่าตลอดชีวิตก็หมายถึงตลอดชีวิตของผู้บริโภค
หรือจนกว่าบริษัทจะเจ๊ง
ธุรกิจประกันภัยเป็นธุรกิจที่ได้รับเงินก้อนมาก่อนและมีพันธะที่จะต้องส่งมอบสินค้าให้กับลูกค้าไปตามที่สัญญาเอาไว้
ซึ่งในที่นี้ก็คือ “ความคุ้มครอง” หรือ “เงินคืนเมื่อสิ้นสุดสัญญา”
และเมื่อเป็นแบบนี้แล้วบริษัทประกันภัยจึงเป็นบริษัทที่อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของ
“คณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย
(คปภ.)” ที่กำหนดว่าบริษัทจะต้องตั้ง
“เงินสำรองประกันภัย” เพื่อให้มีเงินเพียงพอแก่ลูกค้าในเวลาที่จะต้องใช้จ่าย
ไม่ว่าจะเป็นการถอนก่อนครบกำหนดสัญญา
หรือเงินที่ต้องคืนตามสัญญาเมื่อสิ้นสุดสัญญาประกันภัย
“เงินสำรองประกันภัย”
สำหรับลูกค้าในที่นี้จะต้องคำนึงถึงอัตราดอกเบี้ยที่คาดว่าจะลงทุนได้
(เพราะคงไม่เอาเงินไปฝังไว้ในตุ่มเฉยๆ) อัตราการถอนเงินออกก่อนครบกำหนดสัญญา
(เพราะไม่ต้องตั้งเงินสำรองให้กับคนที่ถอนเงินออกไปแล้ว) อัตราการตายของลูกค้า
(ถ้าลูกค้าตายก็จะเอาเงินสำรองส่วนนี้ออกไป และจ่ายค่าสินไหมทดแทน)
ให้เป็นไปตามหลักคณิตศาสตร์ประกันภัย
ซึ่งว่าด้วยอัตราดอกเบี้ยบวกความน่าจะเป็นต่างๆ ในการจำลองธุรกิจ
สิ่งที่แตกต่างกันและเป็นคำถามระหว่างธุรกิจประกันภัยกับธุรกิจอื่นเวลาที่
“ได้รับเงินก้อนมาก่อนและมีพันธะที่จะต้องส่งมอบสินค้าให้กับลูกค้าไปตามที่สัญญา”
ก็คือ 1) ถ้าถอนก่อนแล้วจะไม่มีเงินคืนหรือไม่ และ 2)
ได้มีการตั้งเงินสำรองทางคณิตศาสตร์ประกันภัยสำหรับลูกค้าหรือไม่
ธุรกิจที่ชำระเงินล่วงหน้าไปเป็นก้อนแบบนี้อาจจะระบุในสัญญาว่าลูกค้าจะไม่มีสิทธิได้รับเงินคืนแม้แต่สตางค์เดียวในเวลาที่อยากจะยกเลิกสัญญา
ซึ่งว่ากันในทางกฎหมายแล้วถ้าลูกค้าเองยินยอมที่จะเซ็นสัญญาก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้
หากแต่สำหรับสินค้าประกันนั้น สัญญาประกันภัยในแต่ละฉบับสำหรับธุรกิจประกันภัยนั้นจะต้องได้รับการอนุมัติจาก
“คณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย
(คปภ.)” เสียก่อนว่าจะไม่เป็นการเอาเปรียบลูกค้า
ปัญหาจะเกิดขึ้นถ้า
“เงินสำรองทางคณิตศาสตร์ประกันภัย” สำหรับลูกค้านั้น ไม่ได้ถูกคำนวณเอาไว้หรือถ้าคำนวณเอาไว้ก็คำนวณไว้ได้ไม่เพียงพอ
โดยอาจตีความได้ว่า
บริษัทเอาเงินก้อนที่รับมาจากลูกค้านั้นมารับรู้เป็นกำไรในปีนั้นเลย
แล้วก็ปล่อยให้ค่าใช้จ่ายเกิดขึ้นมาภายหลัง
ซึ่งบริษัทก็ต้องไปเอาเงินก้อนจากลูกค้าคนใหม่มาโปะให้กับค่าใช้จ่ายในการใช้บริการของลูกค้าคนเก่าอยู่เรื่อยๆ
จนเมื่อเวลาที่ลูกค้าเก่ามีจำนวนมากขึ้น
ค่าใช้จ่ายจึงมากขึ้น
แต่เงินก้อนที่หาได้จากลูกค้าใหม่ไม่ได้เติบโตเท่ากับค่าใช้จ่ายที่มากขึ้นจากลูกค้าเก่า
ผลสุดท้ายก็คือขาดสภาพคล่องและขาดทุนในที่สุด
ที่วิเคราะห์มาทั้งหมดนี้เป็นการตั้งสมมติฐานในมุมมองนักคณิตศาสตร์ประกันภัย
จะถูกหรือจะผิดก็ถือว่านี่เป็นกรณีศึกษาแล้วกันครับ