การประกันชีวิต
เป็นวิธีการที่บุคคลกลุ่มหนึ่งร่วมกันเฉลี่ยภัยอันเนื่องจากการตาย การสูญเสียอวัยวะ
ทุพพลภาพ และการสูญเสียรายได้ในยามชรา โดยที่เมื่อบุคคลใดต้องประสบกับภัยเหล่านั้น
ก็ได้รับเงินเฉลี่ยช่วยเหลือเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนแก่ตนเองและครอบครัว โดยบริษัทประกันชีวิตจะทำหน้าที่เป็นแกนกลางในการนำเงินก้อนดังกล่าวไปจ่ายให้แก่ผู้ได้รับภัย
ธุรกิจประกันชีวิตนั้น
สามารถแบ่งออกได้ตามหมวดหมู่จากลักษณะของการออกกรมธรรม์ให้ลูกค้าได้เป็น 3 ประเภท คือ
1.
การประกันชีวิตประเภทรายสามัญ – เป็นการประกันชีวิตรายบุคคล
(หนึ่งกรมธรรม์จะมีชื่อผู้เอาประกันภัยได้เพียง 1 คน) ที่เห็นได้ตามโฆษณาส่วนใหญ่
และในการพิจารณารับประกันชีวิตนั้นอาจจะมีการตรวจสุขภาพหรือไม่ตรวจสุขภาพก็ได้
ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของบริษัท และมีการชำระเบี้ยประกันภัยเป็นรายปี,
ราย 6 เดือน, ราย 3
เดือน หรือรายเดือน
2.
การประกันชีวิตประเภทกลุ่ม - เป็นการประกันชีวิตที่กรมธรรม์หนึ่งจะมีผู้เอาประกันชีวิตร่วมกันตั้งแต่
5 คนขึ้นไป ส่วนมากจะเป็นกลุ่มของพนักงานบริษัท ในการพิจารณารับประกันอาจจะมีการตรวจสุขภาพหรือไม่ตรวจก็ได้
ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของบริษัท การประกันชีวิตกลุ่มนี้อัตราเบี้ยประกันชีวิตจะต่ำกว่าประเภทสามัญและประเภทอุตสาหกรรม
3.
การประกันชีวิตประเภทอุตสาหกรรม - เป็นการประกันชีวิตที่มีจำนวนเงินเอาประกันภัยต่ำ
โดยทั่วไปตั้งแต่ 10,000 - 30,000 บาท
เหมาะสำหรับผู้ที่มีรายได้ปานกลางถึงรายได้ต่ำ เช่น
คนงานที่ทำงานอยู่ในโรงงานอุตสาหกรรม เป็นต้น การชำระเบี้ยประกันภัยจะชำระเป็นรายเดือน
และไม่มีการตรวจสุขภาพ ดังนั้น บริษัทประกันชีวิตจึงมีการกำหนดว่า ถ้าผู้เอาประกันภัยเสียชีวิตหลังจากที่ได้ทำประกันชีวิตไปไม่นาน
บริษัทจะไม่จ่ายจำนวนเงินเอาประกันภัยให้ แต่จะคืนเบี้ยประกันภัยที่ผู้เอาประกันภัยได้ชำระมาแล้วทั้งหมด
ระยะเวลาดังกล่าวที่บริษัทไม่จ่ายเงินเอาประกันภัยนั้นเรียกว่า “ระยะเวลารอคอย (waiting
period)”
แบบประกันชีวิตนั้นยังสามารถแบ่งประเภทออกมาเป็นแบบที่ชำระเบี้ยครั้งเดียว
(Single Premium) และแบบที่ชำระเบี้ยรายงวด (Regular
Premium)
1.
แบบประกันที่ชำระเบี้ยครั้งเดียว (Single
Premium) เป็นแบบที่จ่ายเบี้ยประกันภัยเพียงก้อนเดียว
แต่มีระยะเวลาคุ้มครองจนครบกำหนดสัญญา ยกตัวอย่างเช่น
แบบประกันภัยที่ชำระเบี้ยครั้งเดียวแต่คุ้มครอง 10 ปี ก็เหมือนกับการไปซื้อพันธบัตรที่มีระยะเวลาลงทุน
10 ปี
แต่สิ่งที่แตกต่างกันของผลิตภัณฑ์ประกันภัยคือการมีความคุ้มครองจากทุนประกันชีวิต
เป็นต้น และแบบประกันแบบนี้จะมีราคาผันผวนตามอัตราดอกเบี้ยในตลาด
เพราะราคาพันธบัตรคือต้นทุนของสินค้าประกันภัยตัวนี้
2.
แบบประกันที่ชำระเบี้ยรายงวด (Regular
Premium) เป็นแบบที่มีการจ่ายเบี้ยประกันภัยมากกว่า 1
ครั้งซึ่งระยะเวลาคุ้มครองนั้นไม่จำเป็นจะต้องเท่ากับจำนวนงวดที่จ่ายก็ได้
ยกตัวอย่างเช่น แบบประกันภัยที่ชำระเบี้ย 15 ปีแต่คุ้มครอง 30 ปี
แบบประกันที่ชำระเบี้ย 20 ปีแล้วคุ้มครองตลอดชีวิต หรือแบบประกันที่ชำระเบี้ยตลอดชีวิตและคุ้มครองตลอดชีวิต
เป็นต้น สำหรับแบบประกันแบบนี้จะจำแนกเบี้ยประกันภัยออกเป็น “เบี้ยประกันภัยปีแรก (first
year premium)” และ “เบี้ยประกันภัยต่ออายุ (renewal year
premium) และเนื่องจากค่าใช้จ่ายส่วนใหญ่ของบริษัทประกันชีวิตจะมาจากกรมธรรม์ในปีแรก
จึงทำให้จำนวนเบี้ยประกันภัยต่ออายุนั้นมีความสำคัญมากกับธุรกิจประกันชีวิต
เบี้ยประกันภัยในปีที่ผ่านมาของธุรกิจประกันชีวิตนั้นมีค่าประมาณ
4 แสนล้านบาท โดยมีอัตราการเติบโตถึงร้อยละ 19
เบี้ยประกันภัยรับปีแรก 82,944 ล้านบาท
เบี้ยประกันภัยต่ออายุ 260,811 ล้านบาท
เบี้ยประกันภัยชำระเบี้ยครั้งเดียว 47,603
ล้านบาท
เป็นที่น่าสนใจว่าคนไทยในประเทศประมาณ
3 ใน 4 ที่ยังไม่ได้มีการทำประกันชีวิต และถึงแม้ได้มีการทำประกันชีวิตแล้ว
ก็อาจจะยังมีความคุ้มครองที่ไม่เพียงพอ
เพราะปกติแล้วคนเราจะคำนวณความคุ้มครองประมาณ 10 เท่าของรายได้ต่อปี
ซึ่งก็หมายความว่าถ้าเกิดคนที่หาเลี้ยงครอบครัวเป็นอะไรไป
คนข้างหลังจะมีเงินใช้อยู่ประมาณ 10 ปี
เพื่อที่จะไปตั้งตัวและปรับตัวเพื่อใช้ชีวิตอยู่เองได้ โดยที่ไม่มีคนๆ นั้นอยู่
·
[ พิเชฐ เจียรมณีทวีสิน
(ทอมมี่) – ปัจจุบันดำรงตำแหน่งรองประธานบริษัทเอไอเอ รองนายกสมาคมนักคณิตศาสตร์ประกันภัยแห่งประเทศไทย
และประธานคณะอนุกรรมการคณิตศาสตร์ประกันภัยของสมาคมประกันชีวิตไทย ]
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น