คุยกับแอคชัวรี –
การประกันภัยรายย่อย (ไมโครอินชัวรันส์) ตอน ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานต่อหน่วย
ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานต่อหน่วยเป็นอะไรที่อยู่คู่กับการทำประกันภัยมาตั้งแต่แรก
ถึงแม้ว่าสิ่งที่จับต้องได้ของธุรกิจประกันภัยจะมีแค่กระดาษกับปากกา
แต่กว่าจะออกมาเป็นกรมธรรม์ประกันภัยได้ แน่นอนว่าต้องมีอะไรมากกว่านั้น
โดยเฉพาะเรื่องค่าใช้จ่ายที่ต้องทำเพื่อออกกรมธรรม์ประกันภัยให้ลูกค้าแต่ละครั้ง
ไม่ว่าจะเป็นการพิจารณารับประกันภัย การออกกรมธรรม์ประกันภัยเป็นรูปเล่ม
หรืออากรแสตมป์ เป็นต้น ทั้งนี้ทั้งนั้น
ค่าใช้จ่ายในการบริหารกรมธรรม์นั้นก็มีไม่น้อยเช่นกัน
เพราะว่าค่าใช้จ่ายในการประเมินค่าสินไหม ออกจดหมายเพื่อติดต่อลูกค้า
การบริหารการประกันภัยต่อ การบริหารความเสี่ยงของบริษัท
หรือแม้กระทั่งรายงานทางคณิตศาสตร์ประกันภัย
ก็ล้วนแล้วแต่มีค่าใช้จ่ายแฝงอยู่ทั้งสิ้น
การที่ประกันภัยรายย่อยถูกออกแบบมาให้มีเบี้ยประกันภัยที่ถูกนั้น
จะมีผลทำให้มีค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานต่อหน่วยสูงมาก ยกตัวอย่างเช่น สมมติว่า
แบบประกันภัยทั่วไปมีเบี้ยประกันภัยเฉลี่ย 10,000 บาทในแต่ละฉบับ
บริษัทประกันภัยมีค่าใช้จ่าย 1,000 บาทในการออกกรมธรรม์ประกันภัยมาแต่ละฉบับ ทำให้ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานต่อหน่วยในการออกกรมธรรม์เท่ากับ
10%
ในกรณีนี้
ถ้าบริษัทออกแบบให้เบี้ยประกันภัยมีค่าเท่ากับ 5,000 บาทในแต่ละฉบับ
แต่บริษัทประกันภัยยังคงมีค่าใช้จ่าย 1,000
บาทในการออกกรมธรรม์ประกันภัยมาแต่ละฉบับ ทำให้ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานต่อหน่วยในการออกกรมธรรม์เท่ากับ
20% ไปแล้ว
นั่นก็หมายความว่า
ถ้าบริษัทประกันภัยมีค่าใช้จ่าย 1,000
บาทในการออกกรมธรรม์ประกันภัยมาแต่ละฉบับ
เบี้ยประกันภัยที่จะต้องเก็บนั้นควรมีค่าอย่างน้อย 1,000
บาทเพื่อเอาไปจ่ายค่าใช้จ่ายต่อหน่วยเข้าไปแล้ว และนี่ยังไม่รวมค่าต้นทุนของประกันภัย
ค่าสินไหมทดแทน หรือค่าใช้จ่ายของช่องทางการจัดจำหน่าย
ดังนั้น
เพื่อให้การประกันภัยรายย่อยเกิดขึ้นมาได้
สิ่งที่นักคณิตศาสตร์ประกันภัยจะต้องทำก็คือ
1) ตัดขั้นตอนการดำเนินงานที่ไม่จำเป็นออกไป
ซึ่งนั่นก็มีผลทำให้ลักษณะบางแบบของการทำประกันภัยถูกจำกัดเป็นเงาตามตัว
และสิ่งที่จะตัดออกไปก่อนเพื่อนก็คือ ค่าใช้จ่ายในการพิจารณารับประกันภัย
ซึ่งนั่นก็หมายความว่า บริษัทจะไม่สามารถขายประกันชีวิตหรือประกันสุขภาพได้
เพราะจะทำให้รับความเสี่ยงเข้ามามากเกินไปและทำให้ราคาเบี้ยประกันภัยสูงขึ้นมาอีกเป็นเท่าตัว
2) ออกแบบเพื่อให้ปริมาณยอดขายมีมากขึ้น
จนทำให้ต้นทุนต่อหน่วยลดลง ยกตัวอย่างเช่น ในการออกแบบประกันภัยหนึ่งตัว
จะต้องวางระบบโดยใช้ค่าใช้จ่ายถึง 1 ล้านบาท ถ้าบริษัทขายได้ 10,000 กรมธรรม์
ค่าใช้จ่ายต่อหน่วยก็จะเป็น 100 บาทต่อกรมธรรม์ แต่ถ้าบริษัทสามารถขายได้ถึง 1 ล้านกรมธรรม์
ค่าใช้จ่ายต่อหน่วยก็จะกลายเป็น 1 บาทต่อกรมธรรม์เท่านั้น
(ในภาษาของนักบริหารจะเรียกว่ามี Economies of Scale)
แบบประกันภัยที่เน้นปริมาณยอดขายนั้นจึงจะต้องถูกออกแบบให้เข้าใจง่ายและตัดขั้นตอนที่ซับซ้อนออกไปเพื่อให้ได้มาซึ่งค่าใช้จ่ายต่อหน่วยที่ต่ำที่สุดเท่าที่จะทำได้
ปัจจุบันนี้ สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) ได้พยายามผลักดันไมโครอินชัวรันส์ให้มีเบี้ยประกันภัยต่ำมาก ซึ่งอยู่ที่ 200 บาทต่อปี และออกแบบมาพิเศษเพื่อตอบสนองต่อความต้องการของประชาชนที่ผู้มีรายได้น้อย โดยคปภ. ช่วยสนับสนุน ในเรื่องการให้ออกใบรับรองการประกันภัยแทนกรมธรรม์ (โดยรายละเอียดให้ศึกษาในเวปไซต์บริษัท) และขยายช่องทางการจำหน่าย ที่สามารถเลือกซื้อได้ผ่านร้านสะดวกซื้อที่ได้รับใบอนุญาตนายหน้านิติบุคคล อาทิ Counterservice ที่อยู่ในร้านเซเว่นอีเลฟเว่น ทุกสาขา เคาน์เตอร์เทสโก้โลตัส โบรกเกอร์ประกันภัยในห้างเทสโก้โลตัส เคาน์เตอร์เซนทรัลสมาร์ทอินชัวร์ในห้างเซนทรัล โรบินสัน ท็อปส์
· [ พิเชฐ เจียรมณีทวีสิน (ทอมมี่) – ปัจจุบันดำรงตำแหน่งรองประธานบริษัทเอไอเอ รองนายกสมาคมนักคณิตศาสตร์ประกันภัยแห่งประเทศไทย และประธานคณะอนุกรรมการคณิตศาสตร์ประกันภัยของสมาคมประกันชีวิตไทย ]
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น