หน้าต่างประกันภัย
– ภาษีคนโสด (ตอน ภาวะประชากรสูงอายุล้นประเทศ)
แนวคิดเรื่องภาษีคนโสดนั้น
จริงๆ แล้วคงจะไม่ต่างอะไรกับการกระตุ้นให้คนในประเทศมีลูกกันมากขึ้น
ซึ่งคิดไปคิดมาแล้วมันอาจจะออกมาในรูปแบบอื่นๆ เช่น “นโยบายลูกคนแรก”
ที่จะลดหย่อนภาษีให้เมื่อมีลูกคนแรก (กับภรรยาคนแรก) ก็เป็นได้
สิ่งที่ทำให้ต้องคิดกันต่อก็คือที่มาของความอยากที่จะทำให้คนมีลูกกันมากขึ้น
อาจเพราะเห็นว่าคนไทยในประเทศยังมีน้อยไป
หรืออาจเป็นเพราะคิดว่าคนไทยมีนิสัยรักเด็กก็เป็นได้ แต่สิ่งที่เป็นเหตุผลจริงๆ
ของที่มาในแนวคิดนี้ก็คือความต้องการให้มีความสมดุลระหว่างประชากรวัยทำงานกับประชากรสูงอายุในอีก
20 – 30 ปี ข้างหน้า
นั่นเพราะว่าประเทศไทยกำลังจะประสบกับปัญหาประชากรสูงอายุล้นประเทศในอนาคต !!!
เนื่องจากภาวะประชากรสูงอายุล้นประเทศจะทำให้ภาครัฐไม่สามารถเลี้ยงดูประชากรผู้สูงอายุเหล่านี้ได้ทั้งหมด
เงินภาษีที่เก็บมาจากประชากรในวัยทำงานจึงมีไม่พอ
ซึ่งจะยังผลทำให้ประเทศชาติไม่สามารถพัฒนาต่อไปได้
ถ้าคิดกันแบบธรรมดาประสาชาวบ้าน
เราก็จะมองวิธีการแก้ปัญหาว่าทำได้โดยการไปเพิ่มประชากรวัยกระเตาะเข้ามาในประเทศตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป
เรื่องก็น่าจะจบ
เพราะจะได้ให้เด็กเหล่านั้นเติบโตมาเป็นทรัพยากรของชาติที่สำคัญในการทำงานและจ่ายภาษีให้ภาครัฐในอนาคต
แต่สิ่งที่ไม่จบ(แต่อาจจะนำไปสู่จุดจบ)
ก็คือการไม่ยอมคิดต่อไปให้ไกลกว่านั้นว่าจะเกิดอะไรขึ้น ทำให้ปัญหาใหม่ๆ
จะเกิดขึ้นตามมาเป็นระลอกคลื่น ยกตัวอย่างเช่น
ถ้าไม่คิดถึงระบบที่จะรองรับคนที่จะเกิดมาในอนาคตให้ดีแล้ว
มันก็เปรียบเหมือนการออกนโยบายรถคันแรกเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจโดยการไปกระตุ้นให้คนซื้อรถกัน
แต่สุดท้ายแล้วเราก็เห็นว่าไม่มีถนนให้ใช้กัน ทำให้รถติดมากยิ่งขึ้น
ใช้เวลาบนถนนนานขึ้น และทำงานได้ไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วยแถมยังเปลืองน้ำมันมากขึ้นอีกต่างหาก
สุดท้ายก็จอดรถกันไว้เฉยๆ เพราะหาที่จอดรถกันไม่ได้
ถึงแม้ว่าสิ่งที่ตามมาก็คือการที่เงินได้ถูกดึงออกมาจากกระเป๋าของประชากร
ซึ่งแน่นอนว่าเศรษฐกิจจะถูกกระตุ้น (หรือจะเรียกว่า “กระตุก” ก็ได้) ได้ในระดับหนึ่ง
แต่นั่นก็อาจทำให้กำลังซื้อของประชนเหือดหายไปจากระบบ
เพราะประชาชนเป็นหนี้ผ่อนรถกันเสียส่วนใหญ่ และตอนนี้ก็กำลังทำงานผ่อนส่งจ่ายค่ารถ
(หรือค่าดอกเบี้ยรถ)ในแต่ละเดือน สุดท้ายเศรษฐกิจก็คงถดถอยไปในที่สุด
กระตุ้นให้มีรถคันแรกกัน
à
ระบบรองรับไม่ดีพอ à ถนนไม่พอใช้
à
รถติด à ใช้เวลาบนถนนนานขึ้น à
ทำงานได้ไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วย à เปลืองน้ำมัน
à
รถจอดไว้เฉยๆ à หาที่จอดรถกันไม่ได้
à
ประชาชนเป็นหนี้ผ่อนรถ à ไม่มีเงินซื้อของอย่างอื่น
à
ประเทศถดถอย
เฉกเช่นการที่อยากไปกระตุ้นให้คนมีลูกกันมากขึ้น
แต่ไม่มีระบบรองรับที่ดีพอ ไม่ว่าจะเป็นการศึกษาที่มีได้รองรับไม่เพียงพอ
หรือพ่อแม่มีเวลาดูแลลูกได้ไม่พอ
ทำให้นำไปสู่การมีประชากรที่ไม่มีคุณภาพและปัญหาอาชญากรรม ยาเสพติด
หรือโจรกรรมตามมา
ซึ่งถ้าเป็นอย่างนี้แล้วก็คงไม่ต้องพูดถึงว่ารัฐคงจะเก็บภาษีได้เพราะแม้แต่ประชากรวัยทำงานเองยังไม่มีงานทำ
และสิ่งเหล่านี้เองที่ทำให้กลับมาที่ปัญหาเก่าๆ
คือภาครัฐมีเงินภาษีไม่พอที่จะไปเลี้ยงดูประชากรผู้สูงอายุ
ทำให้ไม่เหลือเงินภาษีไปพัฒนาประเทศชาติได้ และนำพาประเทศให้ถดถอยไปในที่สุด
กระตุ้นให้มีลูกกัน
à
ระบบรองรับไม่ดีพอ à การศึกษาไม่พอให้
à
พ่อแม่ดูแลลูกไม่ดีพอ à
บุคลากรของชาติไม่มีจิตสำนึก à ประชากรไม่มีคุณภาพ
à
ปัญหาอาชญากรรม ยาเสพติด และโจรกรรม à
ประชากรวัยทำงานไม่มีงานทำ à รัฐเก็บภาษีไม่ได้
à
ไม่สามารถเลี้ยงดูประชากรผู้สูงอายุ à
ไม่เหลือเงินภาษีไปพัฒนาประเทศ à ประเทศถดถอย
เหล่านี้เป็นเพียงแต่การจินตนการตามประสาของนักคณิตศาสตร์ประกันภัยที่ไม่ได้มีข้อมูลสถิติหรือตัวเลขมายืนยัน
เพียงแต่อาศัยการสังเกตและประสบการณ์จากการประเมินอนาคตเท่านั้น
ซึ่งถ้าแนวคิดนี้เกิดขึ้นจริง
ก็ได้แต่ภาวนาให้สิ่งที่คาดการณ์ไว้นั้นไม่เป็นจริงครับ
ในมุมกลับกัน ภาครัฐสามารถเตรียมความพร้อมของคนที่กำลังเข้าสู่วัยเกษียณได้โดยการส่งเสริมการออมสำหรับคนกลุ่มนี้ให้มากขึ้น
ซึ่งวิธีนี้น่าจะเป็นการแก้ปัญหาที่ถูกจุดที่สุด ทั้งนี้
ภาครัฐสามารถใช้เครื่องมือทางภาษีเป็นเครื่องจูงใจและกระตุ้นพฤติกรรมของประชาชนได้
เช่น การเพิ่มเพดานค่าลดหย่อนภาษีจากการซื้อประกันชีวิตหรือประกันบำนาญ เป็นต้น
·
[ พิเชฐ เจียรมณีทวีสิน
(ทอมมี่) – ปัจจุบันดำรงตำแหน่งรองประธานบริษัทเอไอเอ รองนายกสมาคมนักคณิตศาสตร์ประกันภัยแห่งประเทศไทย
และประธานคณะอนุกรรมการคณิตศาสตร์ประกันภัยของสมาคมประกันชีวิตไทย ]
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น