แนวคิดเรื่อง
“ภาษีคนโสด” มีออกมาเพราะประเทศไทยกำลังเข้าสู่ภาวะปัญหาประชากรสูงอายุที่กำลังจะเข้าสู่วัยเกษียณเป็นจำนวนมาก
ทำให้ภาครัฐไม่สามารถจัดเก็บภาษีได้เพียงพอเพื่อรองรับกับภาระเลี้ยงดูประชากรวัยเกษียณในอนาคต
เพราะวิธีการจัดเก็บและนำเงินภาษีมาใช้นั้นยังเป็นแบบวิธี Pay as you go ซึ่งเป็นวิธีที่
“คนจ่ายภาษีไม่ได้ใช้ แต่คนใช้สวัสดิการจากภาษีนั้นไม่ได้จ่าย”
ทำให้ต้องระวังเรื่องสัดส่วนของประชากรวัยทำงานกับวัยเกษียณเป็นพิเศษ
โดยเฉพาะคนในยุค baby-boomer ที่กำลังจะก้าวเข้าสู่วัยเกษียณในอีกไม่ช้า
ยังผลให้ประชากรวัยทำงานในขณะนั้นจะต้องแบกรับภาระการเสียภาษีมากกว่ายุคอื่นๆ
มากนัก
Pay as you go
(จ่ายและเก็บภาษีตามมีตามเกิด)
ลักษณะการบริหารภาษีแบบนี้จะเป็นลักษณะที่เก็บเงินภาษีเข้ามากองไว้
จากนั้นก็จัดสรรงบประมาณส่วนหนึ่งไว้บริหารประเทศและงบประมาณอีกส่วนหนึ่งไว้สำหรับการเลี้ยงดูคนในยามเกษียณ ซึ่งจุดเด่นของวิธีการบริหารแบบนี้คือเป็นการบริหารแบบ
“ปีต่อปี” และถ้าค่าใช้จ่ายในปีไหนที่ไม่น่าจะพอ ก็จะไปเรียกเก็บภาษีเพิ่มเอา แต่ถ้าเรามามองในส่วนของภาระเลี้ยงดูของภาครัฐที่มีให้กับประชากรเมื่อยามเกษียณเท่านั้น
มันก็เหมือนกับว่า “รุ่นลูก” ที่เป็นประชากรวัยทำงานกำลังทำงานจ่ายภาษีเพื่อไปเลี้ยง
“รุ่นแม่” ที่เป็นประชากรวัยที่เกษียณ เพราะฉะนั้น
ภาครัฐจึงเป็นตัวกลางที่ทำให้คนวัยทำงานทำหน้าที่เลี้ยงดูคนวัยสูงอายุ
และเมื่อคนวัยทำงานเหล่านี้แก่ตัวลงจนกลายเป็นคนวัยสูงอายุเสียเอง
ถึงตอนนั้นก็จะมีเด็กที่กลายมาเป็นคนวัยทำงานเพื่อเลี้ยงดูคนสูงอายุแบบนี้ต่อไปในทุกรุ่นทุกยุคสมัย
วิธี Pay as
you go ไม่ได้มีการวางแผนกันเงินสำรองล่วงหน้าแบบระยะยาวเอาไว้
จึงอาจจะเรียกเป็นภาษาชาวบ้านว่า “วิธีการจ่ายและเก็บภาษีกันตามมีตามเกิด”
เพราะเป็นวิธีที่บริหารเงินกันเป็นปีต่อปี ซึ่งง่ายกับการจัดการบริหาร โดยจะใช้ได้ดีต่อเมื่อสัดส่วนของประชากรวัยทำงานกับวัยเกษียณนั้นมีค่าคงที่และไม่ผันผวนมากเกินไปนัก
วิธีการอีกแบบหนึ่งที่คำนึงถึงเงินสำรองในระยะยาวเอาไว้นั้นจะเรียกว่าวิธีแบบ
Reserving basis
โดยจะเป็นวิธีที่ตั้งเงินสำรองไว้สำหรับแต่ละคน หมายความว่าถ้าคนไหนจ่ายสะสมเอาไว้มากก็จะมีการตั้งเงินสำรองไว้มากเพื่อที่จะเก็บไว้ให้คนๆ
นั้นในอนาคต ซึ่งก็ถือว่าเป็นแนวทางที่ให้แต่ละคนออมเงินของตัวเอง
แต่สิ่งที่พิเศษและต่างกับการออมแบบฝากเงินนั้นก็คือ
“การตั้งเงินสำรองเพื่อวางแผนสำหรับการเกษียณ”
นั้นหมายถึงการเตรียมตัวสำหรับอนาคตที่จำเป็นต้องใช้เงินเมื่อยังมีชีวิตอยู่ในช่วงเกษียณ
ทำให้การตั้งเงินสำรองแบบนี้จำเป็นจะต้องอาศัยหลักการทาง “คณิตศาสตร์ประกันภัย”
เข้ามาช่วยคำนวณ ไม่ว่าจะเป็นอัตรามรณะ อัตราการเจ็บป่วย
หรืออัตราดอกเบี้ยจากการลงทุน เป็นต้น
Reserving
basis (การตั้งเงินสำรองตามหลักทางคณิตศาสตร์ประกันภัย)
ลักษณะการบริหารภาษีแบบนี้จะเป็นลักษณะที่เก็บเงินภาษีจากแต่ละคนเข้ามาและมีการตั้งเงินสำรองเอาไว้ให้สำหรับคนๆ
นั้น
ซึ่งจุดเด่นของวิธีการบริหารแบบนี้คือเป็นการบริหารแบบมีวางแผนตั้งเงินสำรองล่วงหน้าแบบระยะยาวเอาไว้
ทำให้มั่นใจได้ว่าแต่ละคนจะมีเงินใช้ในยามเกษียณตามที่ได้จ่ายเงินเข้ามาไว้ในช่วงวัยทำงาน แต่สิ่งที่เป็นข้อเสียของวิธีนี้ก็คือการดำเนินงานที่ยุ่งยากและขาดความยืดหยุ่นในการที่รัฐจะนำเงินไปใช้ทำอย่างอื่น
ปัจจัยต่อไปนี้จะมีผลกระทบกับการประมาณการของเงินสำรองที่จะต้องตั้งไว้ในแต่ละปี
1.
อัตรามรณะ
เพื่อที่จะประมาณการว่าจะมีคนที่เหลืออยู่กี่คนถึงตอนที่เกษียณ
และเมื่ออยู่ถึงยามเกษียณแล้วจะอยู่กันได้นานเท่าไร
2.
อัตราการเจ็บป่วย
เพื่อที่จะประมาณค่าใช้จ่ายทางด้านสุขภาพว่าจะต้องจ่ายเมื่อไรและเท่าไรในแต่ละปี
ตราบใดที่คนๆ นั้นยังมีชีวิตอยู่
3.
อัตราดอกเบี้ยจากการลงทุน
เพื่อให้เงินสำรองที่ตั้งขึ้นมาแต่ละปีได้งอกเงย
โดยการลงทุนนั้นจะต้องมีการจัดการความเสี่ยงทางด้านการเงินที่เหมาะสม
เพราะเงินทุกบาททุกสตางค์นั้นเป็นเงินที่จะต้องคืนให้กับคนที่จะเกษียณในอนาคต
เนื่องจากการดำเนินงานที่ยุ่งยาก
วิธีการ Reserving basis จึงไม่ค่อยนิยมใช้ในการจัดเก็บภาษี
อาจเป็นเพราะงบประมาณภาษีนั้นก็มีลักษณะปีต่อปีเหมือนกัน วิธีการ Reserving
basis จึงได้ถูกนำมาประยุกต์ใช้กับการจ่ายบำเหน็จบำนาญที่เป็นสวัสดิการของข้าราชการและพนักงาน
หรือผลประโยชน์จากประกันชีวิตและประกันบำนาญ โดยคนจ่ายเงินเข้ามาให้นั้นจะเป็นนายจ้างหรือผู้เอาประกันภัยเองก็ได้
การออมเพื่อยามเกษียณโดยวิธี
Reserving basis จึงเป็นวิธีที่สามารถใช้ควบคู่กับวิธี Pay
as you go ได้อย่างแยบยล
โดยภาครัฐสามารถกระตุ้นพฤติกรรมของประชาชนได้จากกลไกทางการออมแบบวิธี Reserving
basis นี้
ไม่ว่าจะเป็นการส่งเสริมให้คนทำประกันชีวิตหรือประกันบำนาญเพื่อวางแผนทางการเงินตั้งแต่ต้น
ดังนั้น
การแก้ปัญหาของวิธี Pay as you go โดยไปมีแนวคิดเรื่อง
“ภาษีคนโสด” นั้นเป็นเพียงการจะไปแก้ปัญหาระยะสั้นซึ่งอาจทำให้เกิดปัญหาอื่นๆ
ตามมาได้ ในทางกลับกัน เราสามารถหันไปส่งเสริมวิธี Reserving basis เช่น
“การเพิ่มเพดานค่าลดหย่อนภาษีจากการซื้อประกันชีวิตหรือประกันบำนาญ” ซึ่งเป็นการแก้ปัญหาระยะยาวและมีประสิทธิผลที่ดีกว่า
การแก้ปัญหาอย่างบูรณาการนั้นจึงจำเป็นสำหรับการพัฒนาประเทศในขณะนี้มากที่สุด
!!
·
[ พิเชฐ เจียรมณีทวีสิน
(ทอมมี่) – ปัจจุบันดำรงตำแหน่งรองประธานบริษัทเอไอเอ รองนายกสมาคมนักคณิตศาสตร์ประกันภัยแห่งประเทศไทย
และประธานคณะอนุกรรมการคณิตศาสตร์ประกันภัยของสมาคมประกันชีวิตไทย ]
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น