หน้าต่างประกันภัย
– ภาษีคนโสด (ตอน การเตรียมตัวสู่วัยเกษียณ)
สืบเนื่องจากแนวคิดเรื่องภาษีคนโสดมีออกมาในช่วงที่ประเทศไทยกำลังเข้าสู่ภาวะประชากรสูงอายุที่กำลังเข้าสู่วัยเกษียณเป็นจำนวนมาก
ทำให้ภาครัฐไม่สามารถจัดเก็บภาษีได้เพียงพอเพื่อรองรับกับภาระเลี้ยงดูประชากรวัยเกษียณในอนาคต
ในแต่ละประเทศทั่วโลกตอนนี้กำลังพยายามบริหารสัดส่วนประชากรวัยทำงานกับวัยเกษียณให้ลงตัว
ในสมัยก่อน หลายๆ ประเทศ (รวมถึงประเทศไทย) จะรณรงค์ให้คนในประเทศตัวเองมีลูกเยอะๆ
เพื่อให้เด็กโตออกมาสู่ตลาดแรงงาน ทำให้ประชากรวัยทำงานมากกว่าประชากรวัยเกษียณ
และขับเคลื่อนประเทศไปได้เร็วขึ้น แต่ในทางกลับกัน
การเพิ่มจำนวนประชากรในประเทศนั้น
ก็นำไปสู่ภาวะขาดแคลนทรัพยากรรวมไปถึงระบบการศึกษาเพื่อรองรับประชากรให้มีคุณภาพ
ทำให้ในเวลาต่อมาภาครัฐรณรงค์ให้ประชากรคุมกำเนิดและมีลูกน้อยลง
ประชากรวัยทำงานที่มากล้นในสมัยก่อนได้ค่อยๆ
ขยับเข้ามาเป็นประชากรวัยเกษียณในอนาคตอันใกล้นี้
ทำให้เราเริ่มเห็นว่าประชากรวัยเกษียณกำลังจะมีมากกว่าวัยทำงานหลายเท่า
ซึ่งก็แน่นอนว่าแหล่งรายได้ของภาครัฐนั้นมาจากกลุ่มประชากรวัยทำงาน
แต่แหล่งรายจ่ายของภาครัฐนั้นอยู่ที่กลุ่มประชากรวัยเกษียณ
เป็นผลให้ประชากรวัยทำงานต้องทำงานเพื่อเสียภาษีให้รัฐมากขึ้น
ทั้งหมดนี้เป็นเรื่องของประชากรศาสตร์
ซึ่งเป็นที่มาของแนวคิดเรื่องภาษีคนโสด
เพื่อสนับสนุนให้คนไทยหันมาแต่งงานและมีลูกกันมากขึ้น
รัฐจะได้เก็บภาษีจากเด็กกลุ่มที่กำลังจะเกิดมาและเข้าสู่ตลาดแรงงานในอนาคตได้เต็มเม็ดเต็มหน่วย
หรืออาจกล่าวอีกนัยหนึ่งก็ได้ว่า
รัฐกลัวว่าเด็กกลุ่มที่กำลังจะเกิดมานี้จะต้องช่วยกันทำงานหนักเพื่อรองรับกับภาวะประชากรสูงอายุที่ล้นหลาม
การมีปริมาณของเด็กที่เกิดมาในกลุ่มนี้เยอะๆ
จึงกลายเป็นหนึ่งในทางเลือกสำหรับทางออกที่ว่านี้
อย่างไรก็ตาม
ปริมาณที่ออกมาโดยไม่มีพื้นฐานที่ดีพอมารองรับ ก็อาจจะทำให้เกิดปัญหาต่างๆ
ตามมาได้ ไม่ว่าจะเป็นมาตรฐานการศึกษาที่ไม่ดีพอ การโจรกรรม ยาเสพติด
หรือแม้แต่การคอรัปชั่น เป็นต้น ดังนั้น การแก้ปัญหาประชากรผู้สูงอายุ (aging
population) โดยไปสนับสนุนให้คนแต่งงานมีลูกกันมากขึ้น
(เช่น มาตรการภาษีคนโสด) นั้นจึงอาจเป็นเพียงแค่การแก้ปัญหาที่ปลายเหตุเท่านั้น
หนำซ้ำยังเป็นการซื้อเวลาเพื่อปัดปัญหาออกไปข้างหน้าเสียอีก
เพราะยิ่งประเทศผลิตประชากรกันมากขึ้นเท่าไร
คนกลุ่มนั้นก็จะกลายเป็นประชากรสูงอายุเข้าสักวัน และปัญหาก็ยังคงคารังคาซังเหมือนเดิมอยู่ดี
ถึงตอนนั้นก็คงจะยิ่งแก้ปัญหากันยากขึ้นจนกลายเป็นภาวะงูกินหางที่ไม่มีที่สิ้นสุด
และเพื่อเป็นการตัดวงจรงูกินหางเหล่านี้
ภาครัฐสามารถเตรียมความพร้อมของคนที่กำลังเข้าสู่วัยเกษียณได้โดยการส่งเสริมการออมสำหรับคนกลุ่มนี้ให้มากขึ้น
เพื่อให้แต่ละคนมีเป้าหมายทางการเงินและเก็บเงินสะสมเพื่อยามเกษียณสำหรับตนเอง
ซึ่งวิธีนี้น่าจะเป็นการแก้ปัญหาที่ถูกจุดที่สุด
และภาครัฐเองยังสามารถใช้เครื่องมือทางภาษีเป็นเครื่องจูงใจและกระตุ้นพฤติกรรมของประชาชนในประเทศได้อยู่เหมือนเดิม
เพียงแต่ต้องใช้ให้มีประสิทธิผลและมีวิธีการที่แยบยลมารองรับ (เช่น
ค่าลดหย่อนภาษีจากการซื้อประกันชีวิตหรือประกันบำนาญ)
แทนที่จะไปเก็บภาษีประชาชนบางกลุ่มเพื่อเร่งผลิตประชากรขึ้นมาเป็นแรงงานในอนาคต
การซื้อประกันชีวิตหรือประกันแบบบำนาญจึงเป็นเครื่องมือทางการเงินที่ดีที่สุดเพื่อการออมไว้ใช้ในยามเกษียณ
โดยกลไกการออมเหล่านี้จะกลายเป็นส่วนหนึ่งของการวางแผนทางการเงินในระยะยาวของแต่ละคน
อีกทั้งยังเป็นเครื่องมือในการบริหารความเสี่ยงระดับครัวเรือนสำหรับประชาชนในประเทศที่ภาครัฐเล็งเห็นความสำคัญและให้การสนับสนุนมาอย่างต่อเนื่อง
ดังนั้น
การเพิ่มเพดานค่าลดหย่อนภาษีจากการซื้อประกันชีวิตหรือประกันบำนาญเพื่อการออมนั้นน่าจะเป็นหนึ่งในทางเลือกที่ได้ผลมากที่สุด
แม้ภาครัฐจะขาดรายได้จากการที่เรียกเก็บภาษีได้น้อยลงไปบ้าง
แต่ในระยะยาวแล้วภาครัฐเองก็สามารถประหยัดค่าใช้จ่ายในการจัดการปัญหาประชากรผู้สูงอายุที่เพิ่มปริมาณขึ้นมาแบบก้าวกระโดดได้อย่างมีประสิทธิภาพ
และที่ได้มากยิ่งไปกว่านั้น
คือการจูงใจให้ประชาชนมีวินัยในการออมและนำไปสู่ความพอเพียงเพื่อการเกษียณที่เพียงพอ
ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นในสังคมไทยสมัยนี้
และแม้ว่าแนวคิดภาษีคนโสดอาจจะโดนวิพากษ์วิจารณ์จนตกประเด็นไป
แต่ถ้ายังแก้ปัญหากันไม่ถูกจุด รับรองว่าอนาคตคงมีคนเสนอนโยบายใหม่ๆ
เอาใจประชาชนอย่าง “ลดหย่อนภาษีให้ลูกคนแรก” ออกมาแน่นอน !!!
ถึงเวลานั้นก็คงต้องให้ประชาชนตัดสินใจเองระหว่าง
“การลดหย่อนภาษีให้ลูกคนแรก” หรือ “การเพิ่มเพดานค่าลดหย่อนภาษีจากการซื้อประกันชีวิตหรือประกันแบบบำนาญ”
ทั้งสองอย่างแก้ปัญหาประชากรผู้สูงอายุได้เหมือนกัน
เพียงแต่แบบแรกเป็นการยืดระเบิดเวลาให้ไกลออกไป
ส่วนแบบหลังเป็นการแก้ปัญหาระยะยาวอย่างยั่งยืน
ถ้าดูจากลักษณะของความเป็นคนไทย
ก็คงพอจะเดากันได้ครับว่า ถ้ามีให้เลือกแล้วอยากจะเลือกแบบไหน?
·
[ พิเชฐ เจียรมณีทวีสิน
(ทอมมี่) – ปัจจุบันดำรงตำแหน่งรองประธานบริษัทเอไอเอ รองนายกสมาคมนักคณิตศาสตร์ประกันภัยแห่งประเทศไทย
และประธานคณะอนุกรรมการคณิตศาสตร์ประกันภัยของสมาคมประกันชีวิตไทย ]
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น