วันอาทิตย์ที่ 28 เมษายน พ.ศ. 2556


คนฮ่องกงกับคนในประเทศอื่นๆ

 คนฮ่องกงจะตกใจมากเมื่อผมได้อธิบายข้อมูลในบัตรประชาชนไทยของผมให้คนฮ่องกงฟัง ไม่ใช่เพราะเลขประจำตัวในบัตรประชาชนของผมจะเรียงกันสวยหรือเคยตรงกับเลขหวยของเขามาก่อน แต่เป็นเพราะบัตรประชาชนไทยของผมนั้นได้ระบุศาสนาไว้ด้วย ซึ่งเมื่อพอเอาบัตรประชาชนฮ่องกงมาเทียบกับบัตรประชาชนไทยดูแล้วมันก็จริงเหมือนที่เขาว่า นั่นก็คือ บัตรประชาชนฮ่องกงของผมไม่ได้ระบุศาสนาเอาไว้จริงๆ

ทำให้ผมนึกย้อนกลับไปได้ว่าวันแรกที่พลัดถิ่นมาฮ่องกงแล้วเข้าไปทำบัตรประชาชนนั้น แบบฟอร์มที่ทางราชการให้กรอกเกี่ยวกับศาสนาจะมีตัวเลือกเพียงแค่ว่า “มี (ถ้ามี โปรดระบุ) หรือไม่มีเท่านั้นเอง ซึ่งทำให้ดูเหมือนเป็นข้อมูลที่ไม่ได้สำคัญแต่อย่างไร ถึงแม้ว่าโดยปกติแล้วหน่วยความจำที่เป็นชิปของบัตรประชาชนจะสามารถเก็บข้อมูลได้มากมายหลายอย่างไว้ก็ตาม ซึ่งบัตรประชาชนใบนี้สามารถใช้แทนได้ตั้งแต่พาสปอรต์ที่ด่านตรวจคนเข้าเมือง(ไม่ต้องต่อคิวยื่นพาสปอร์ตอีกต่อไป)จนถึงกระทั่งเป็นบัตรยืมหนังสือในห้องสมุดได้ถึง 7 เล่ม

แต่สิ่งหนึ่งที่ทำให้ผมตกใจมากกว่าคนฮ่องกงที่ตกใจเรื่องของผม ก็คือคนส่วนใหญ่มากกว่าครึ่งของที่นี่ระบุในบัตรประชาชนว่า ไม่มีศาสนา ทำให้ผมมีความอยากรู้อยากเห็นมากยิ่งขึ้นเกี่ยวกับคนที่นี่ว่าคนฮ่องกงใช้ชีวิตกันได้อย่างไร ถึงได้มีความเป็นระเบียบและมีประสิทธิภาพในเมื่อคนฮ่องกงส่วนใหญ่เป็นคนไม่มีศาสนา

จากวันเป็นเดือน จากเดือนเป็นปี พออยู่ทำงานกับคนพวกนี้ไปเรื่อยๆ ก็ทำให้ได้ซึมซับความคิดของคนฮ่องกงขึ้นมา บางคนนั้นเข้าใจศาสนาพุทธได้ดีกว่าผมเสียอีก แถมยังรู้ไปถึงพระโพธิสัตว์ทั้ง 5ซึ่งหนึ่งในนั้นก็มีเจ้าแม่กวนอิมอยู่ด้วย ใครมาที่ฮ่องกงต้องอย่าลืมไปไหว้ศาลเจ้าแม่กวนอิมที่ตั้งหันหน้าออกริมหาดที่เกาะฮ่องกงนะครับ ที่นั่นสามารถขอพรเพื่อให้มีลูกด้วย (ซึ่งได้ไปหลายคู่แล้ว)

ดังนั้นคนที่ไม่มีศาสนาในฮ่องกงจึงไม่ได้เป็นคนไม่ดีเสมอไป ผมเห็นคนฮ่องกงศึกษาและเปรียบเทียบหลักคำสอนของแต่ละศาสนาแล้วก็รวบรวมเป็นแนวคิดส่วนตัวของเขาเอง แต่ก็ขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคลอีกทีว่าคนๆ นั้นจะเชิ่อหรือไม่ อย่างมีเพื่อนอีกคนหนึ่งที่เขาไม่เชื่ออะไรเลยแต่ก็เป็นคนดีเหมือนกัน ซึ่งในมุมมองกลับกันบัตรประชาชนไทยของเราได้ปั๊มยี่ห้อว่าเป็นศาสนาอะไร แต่ถ้าเราไม่ได้เข้าใจและมีแนวคิดเป็นของตัวเองแล้วผมก็รู้สึกเสียดายแทน

และก็มีให้เห็นกับคนที่ทำงานในฮ่องกงบางจำพวกที่ปากบอกว่าตัวเองมีศาสนาแต่การกระทำและวิธีการเอาตัวรอดในที่ทำงานนั้นเรียกได้ว่าเข้าขั้นดิ่งลงนรกได้ทันที โดยเฉพาะเทคนิคการแทงคนข้างหลังกันอย่างเลือดอาบ ชนิดไม่ต้องใช้ยาแดง และสามารถเรียกคนเหล่านั้นว่าไอ้ดาบพันศพเพราะเขาผู้นั้นได้เชือดและหักหลังคนมานักต่อนักแล้ว ซึ่งอันตรายอย่างยิ่งยวด เพราะฉะนั้นดูหนังสืออย่าดูที่ตัวปกครับ สำหรับคนฮ่องกงแล้วต้องดูเนื้อในแล้วทำใจเปิดกว้าง คอยสังเกตว่าแต่ละคนนั้นเป็นอย่างไร เพราะเนื่องจากคนฮ่องกงเป็นคนที่ปากกัดตีนถีบกันและบ้างานที่สุดในโลก(อันนี้กล้าท้าพิสูจน์) ความมีอัตตาของคนในประเทศนี้จึงมีสูงขึ้นตามด้วยเช่นกัน
 
พอสรุปได้ว่าคนฮ่องกงไม่มีศาสนากัน ผมก็เคยแปลกใจอยู่ว่าคนในฮ่องกงหรือคนในประเทศที่มีการแข่งขันกันสูง เช่น สิงคโปร์จะอยู่กันอย่างสงบได้อย่างไร เพราะไม่มีใครรู้จักคำว่า “อัตตา กันเลย ยิ่งคิดก็ยิ่งงง เลยอาศัยการพยายามสังเกตและพูดคุยเพื่อแลกเปลี่ยนแนวคิดต่างๆ กับเพื่อนที่ทำงานทั้งในและนอกบริษัท ทำไปได้ซักสองถึงสามปีก็ถึงบางอ้อ ฟันธงว่าระบบการศึกษาของเขานั่นเองที่พัฒนาระบบความคิดให้คนของเค้าคิดได้เองเป็น และอีกส่วนหนึ่งคงเป็นเพราะกฎระเบียบสังคมที่เข้มงวดและมีการบังคับใช้จริง (ไม่มีดับเบิ้ลสแตนดาร์ด)

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น