วันจันทร์ที่ 12 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

หน้าต่างประกันภัย – ภาษีคนโสด (ตอน การจัดตั้งเงินสำรองสำหรับเลี้ยงดูคนในยามเกษียณ)

 หน้าต่างประกันภัย – ภาษีคนโสด (ตอน การจัดตั้งเงินสำรองสำหรับเลี้ยงดูคนในยามเกษียณ)

แนวคิดเรื่อง “ภาษีคนโสด” มีออกมาเพราะประเทศไทยกำลังเข้าสู่ภาวะปัญหาประชากรสูงอายุที่กำลังจะเข้าสู่วัยเกษียณเป็นจำนวนมาก ทำให้ภาครัฐไม่สามารถจัดเก็บภาษีได้เพียงพอเพื่อรองรับกับภาระเลี้ยงดูประชากรวัยเกษียณในอนาคต เพราะวิธีการจัดเก็บและนำเงินภาษีมาใช้นั้นยังเป็นแบบวิธี Pay as you go ซึ่งเป็นวิธีที่ “คนจ่ายภาษีไม่ได้ใช้ แต่คนใช้สวัสดิการจากภาษีนั้นไม่ได้จ่าย” ทำให้ต้องระวังเรื่องสัดส่วนของประชากรวัยทำงานกับวัยเกษียณเป็นพิเศษ โดยเฉพาะคนในยุค baby-boomer ที่กำลังจะก้าวเข้าสู่วัยเกษียณในอีกไม่ช้า ยังผลให้ประชากรวัยทำงานในขณะนั้นจะต้องแบกรับภาระการเสียภาษีมากกว่ายุคอื่นๆ มากนัก

Pay as you go (จ่ายและเก็บภาษีตามมีตามเกิด)
ลักษณะการบริหารภาษีแบบนี้จะเป็นลักษณะที่เก็บเงินภาษีเข้ามากองไว้ จากนั้นก็จัดสรรงบประมาณส่วนหนึ่งไว้บริหารประเทศและงบประมาณอีกส่วนหนึ่งไว้สำหรับการเลี้ยงดูคนในยามเกษียณ ซึ่งจุดเด่นของวิธีการบริหารแบบนี้คือเป็นการบริหารแบบ “ปีต่อปี” และถ้าค่าใช้จ่ายในปีไหนที่ไม่น่าจะพอ ก็จะไปเรียกเก็บภาษีเพิ่มเอา แต่ถ้าเรามามองในส่วนของภาระเลี้ยงดูของภาครัฐที่มีให้กับประชากรเมื่อยามเกษียณเท่านั้น มันก็เหมือนกับว่า “รุ่นลูก” ที่เป็นประชากรวัยทำงานกำลังทำงานจ่ายภาษีเพื่อไปเลี้ยง “รุ่นแม่” ที่เป็นประชากรวัยที่เกษียณ เพราะฉะนั้น ภาครัฐจึงเป็นตัวกลางที่ทำให้คนวัยทำงานทำหน้าที่เลี้ยงดูคนวัยสูงอายุ และเมื่อคนวัยทำงานเหล่านี้แก่ตัวลงจนกลายเป็นคนวัยสูงอายุเสียเอง ถึงตอนนั้นก็จะมีเด็กที่กลายมาเป็นคนวัยทำงานเพื่อเลี้ยงดูคนสูงอายุแบบนี้ต่อไปในทุกรุ่นทุกยุคสมัย

วิธี Pay as you go ไม่ได้มีการวางแผนกันเงินสำรองล่วงหน้าแบบระยะยาวเอาไว้ จึงอาจจะเรียกเป็นภาษาชาวบ้านว่า “วิธีการจ่ายและเก็บภาษีกันตามมีตามเกิด” เพราะเป็นวิธีที่บริหารเงินกันเป็นปีต่อปี ซึ่งง่ายกับการจัดการบริหาร โดยจะใช้ได้ดีต่อเมื่อสัดส่วนของประชากรวัยทำงานกับวัยเกษียณนั้นมีค่าคงที่และไม่ผันผวนมากเกินไปนัก

วิธีการอีกแบบหนึ่งที่คำนึงถึงเงินสำรองในระยะยาวเอาไว้นั้นจะเรียกว่าวิธีแบบ Reserving basis โดยจะเป็นวิธีที่ตั้งเงินสำรองไว้สำหรับแต่ละคน หมายความว่าถ้าคนไหนจ่ายสะสมเอาไว้มากก็จะมีการตั้งเงินสำรองไว้มากเพื่อที่จะเก็บไว้ให้คนๆ นั้นในอนาคต ซึ่งก็ถือว่าเป็นแนวทางที่ให้แต่ละคนออมเงินของตัวเอง

แต่สิ่งที่พิเศษและต่างกับการออมแบบฝากเงินนั้นก็คือ “การตั้งเงินสำรองเพื่อวางแผนสำหรับการเกษียณ” นั้นหมายถึงการเตรียมตัวสำหรับอนาคตที่จำเป็นต้องใช้เงินเมื่อยังมีชีวิตอยู่ในช่วงเกษียณ ทำให้การตั้งเงินสำรองแบบนี้จำเป็นจะต้องอาศัยหลักการทาง “คณิตศาสตร์ประกันภัย” เข้ามาช่วยคำนวณ ไม่ว่าจะเป็นอัตรามรณะ อัตราการเจ็บป่วย หรืออัตราดอกเบี้ยจากการลงทุน เป็นต้น


Reserving basis (การตั้งเงินสำรองตามหลักทางคณิตศาสตร์ประกันภัย)
ลักษณะการบริหารภาษีแบบนี้จะเป็นลักษณะที่เก็บเงินภาษีจากแต่ละคนเข้ามาและมีการตั้งเงินสำรองเอาไว้ให้สำหรับคนๆ นั้น ซึ่งจุดเด่นของวิธีการบริหารแบบนี้คือเป็นการบริหารแบบมีวางแผนตั้งเงินสำรองล่วงหน้าแบบระยะยาวเอาไว้ ทำให้มั่นใจได้ว่าแต่ละคนจะมีเงินใช้ในยามเกษียณตามที่ได้จ่ายเงินเข้ามาไว้ในช่วงวัยทำงาน แต่สิ่งที่เป็นข้อเสียของวิธีนี้ก็คือการดำเนินงานที่ยุ่งยากและขาดความยืดหยุ่นในการที่รัฐจะนำเงินไปใช้ทำอย่างอื่น

ปัจจัยต่อไปนี้จะมีผลกระทบกับการประมาณการของเงินสำรองที่จะต้องตั้งไว้ในแต่ละปี
1.      อัตรามรณะ เพื่อที่จะประมาณการว่าจะมีคนที่เหลืออยู่กี่คนถึงตอนที่เกษียณ และเมื่ออยู่ถึงยามเกษียณแล้วจะอยู่กันได้นานเท่าไร
2.       อัตราการเจ็บป่วย เพื่อที่จะประมาณค่าใช้จ่ายทางด้านสุขภาพว่าจะต้องจ่ายเมื่อไรและเท่าไรในแต่ละปี ตราบใดที่คนๆ นั้นยังมีชีวิตอยู่
3.      อัตราดอกเบี้ยจากการลงทุน เพื่อให้เงินสำรองที่ตั้งขึ้นมาแต่ละปีได้งอกเงย โดยการลงทุนนั้นจะต้องมีการจัดการความเสี่ยงทางด้านการเงินที่เหมาะสม เพราะเงินทุกบาททุกสตางค์นั้นเป็นเงินที่จะต้องคืนให้กับคนที่จะเกษียณในอนาคต

เนื่องจากการดำเนินงานที่ยุ่งยาก วิธีการ Reserving basis จึงไม่ค่อยนิยมใช้ในการจัดเก็บภาษี อาจเป็นเพราะงบประมาณภาษีนั้นก็มีลักษณะปีต่อปีเหมือนกัน วิธีการ Reserving basis จึงได้ถูกนำมาประยุกต์ใช้กับการจ่ายบำเหน็จบำนาญที่เป็นสวัสดิการของข้าราชการและพนักงาน หรือผลประโยชน์จากประกันชีวิตและประกันบำนาญ โดยคนจ่ายเงินเข้ามาให้นั้นจะเป็นนายจ้างหรือผู้เอาประกันภัยเองก็ได้


การออมเพื่อยามเกษียณโดยวิธี Reserving basis จึงเป็นวิธีที่สามารถใช้ควบคู่กับวิธี Pay as you go ได้อย่างแยบยล โดยภาครัฐสามารถกระตุ้นพฤติกรรมของประชาชนได้จากกลไกทางการออมแบบวิธี Reserving basis นี้ ไม่ว่าจะเป็นการส่งเสริมให้คนทำประกันชีวิตหรือประกันบำนาญเพื่อวางแผนทางการเงินตั้งแต่ต้น

ดังนั้น การแก้ปัญหาของวิธี Pay as you go โดยไปมีแนวคิดเรื่อง “ภาษีคนโสด” นั้นเป็นเพียงการจะไปแก้ปัญหาระยะสั้นซึ่งอาจทำให้เกิดปัญหาอื่นๆ ตามมาได้ ในทางกลับกัน เราสามารถหันไปส่งเสริมวิธี Reserving basis เช่น “การเพิ่มเพดานค่าลดหย่อนภาษีจากการซื้อประกันชีวิตหรือประกันบำนาญ” ซึ่งเป็นการแก้ปัญหาระยะยาวและมีประสิทธิผลที่ดีกว่า

การแก้ปัญหาอย่างบูรณาการนั้นจึงจำเป็นสำหรับการพัฒนาประเทศในขณะนี้มากที่สุด !!

·         [ พิเชฐ เจียรมณีทวีสิน (ทอมมี่) – ปัจจุบันดำรงตำแหน่งรองประธานบริษัทเอไอเอ รองนายกสมาคมนักคณิตศาสตร์ประกันภัยแห่งประเทศไทย และประธานคณะอนุกรรมการคณิตศาสตร์ประกันภัยของสมาคมประกันชีวิตไทย ]


วันพฤหัสบดีที่ 8 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

หน้าต่างประกันภัย – ภาษีคนโสด (ตอน หลักการบริหารเงินแบบ Pay as you go)

หน้าต่างประกันภัย – ภาษีคนโสด (ตอน หลักการบริหารเงินแบบ Pay as you go)

คำว่า “ภาษีคนโสด” เป็นคำที่กล่าวถึงกันมากในช่วงนี้ เนื่องจากมันดูเหมือนจะประชดชีวิตคนโสดอย่างไรไม่รู้ บ้างก็คิดว่าทำไมมีคานไว้อยู่แล้วมันผิดด้วยหรือ บ้างก็เข้าใจกันไปเองว่าภาษีคนโสดนั้นคงกลายเป็นส่วนหนึ่งของภาษีโรงเรือนและที่ดินไปแล้ว เพราะคำว่าโรงเรือนนั้นหมายถึงอาคารและสิ่งปลูกสร้างต่างๆ ซึ่งทำให้ “คาน” ถูกเข้าใจผิดโดนเหมารวมเข้าไปอยู่ในนั้นด้วยแน่เลย เป็นต้น

มีข้อถกเถียงกันไปต่างๆ นานา เกี่ยวกับความเหมาะสมในการจัดเก็บภาษีคนโสด ประกอบกับกระแสของคนโสดที่ออกมาค้านกับแนวคิดนี้  จึงทำให้ประเด็นเหล่านี้ตกไป แต่เราลองมาคิดดูว่าถ้าเกิดมีคนคิด “นโยบายลูกคนแรก” ขึ้นมาแล้วจะเป็นอย่างไร

แน่นอนว่า “นโยบายลูกคนแรก” คงจะฟังดูดีกว่า “ภาษีคนโสด” เป็นแน่ แต่ผลลัพธ์นั้นจะออกมาเหมือนกัน นั่นก็คือการกระตุ้นให้คนมีลูกกันมากขึ้น (ซึ่งก็คงไม่ได้ทำเพราะต้องการกระตุ้นเศรษฐกิจเหมือนที่ต้องการทำในการออก “นโยบายรถคันแรก”) เพื่อให้เกิดความสมดุลของประชากรวัยทำงานกับวัยสูงอายุในอนาคตข้างหน้า มิเช่นนั้นแล้ว ประเทศก็จะขาดกำลังสำคัญจากประชากรวัยทำงานซึ่งจะต้องเป็นคนคอยเสียภาษีให้กับภาครัฐ  ดังนั้นจะเห็นได้ว่าแนวคิดเหล่านี้ได้ทำขึ้นเพื่อเป็นการเตรียมตัวของภาครัฐสำหรับการเลี้ยงดูคนในยามเกษียณของประเทศนั่นเอง

ภาษีจึงได้ถูกนำมาใช้เป็นเครื่องมือในการจัดความสมดุลของประชากรศาสตร์เพื่อควบคุมปริมาณประชากรในแต่ละช่วงอายุให้มีสัดส่วนที่เหมาะสม โดยในประเทศจีนเองก็มีการออกระเบียบการในรูปแบบค่าปรับทางภาษีในการมีลูกมากว่า 1 คน เพื่อจำกัดจำนวนประชากรที่จะเกิดมา ซึ่งก็ตรงกันข้ามกับประเทศสิงคโปร์ที่ต้องการจะเร่งผลิตจำนวนประชากรและได้มีกฎระเบียบที่ออกมาในรูปแบบของการลดหย่อนภาษีสำหรับคนที่ไม่โสด (หรือได้แต่งงานอยู่กินด้วยกัน)

โดยปกติแล้ว ภาครัฐสามารถได้แบ่งวิธีการเตรียมตัวสำหรับการเลี้ยงดูคนในยามเกษียณออกเป็นสองกลุ่มใหญ่ๆ ได้แก่
1.      การจ่ายและเก็บภาษีตามมีตามเกิด หรือในทางภาษาคณิตศาสตร์ประกันภัยจะเรียกว่าวิธี Pay as you go
2.      การจัดตั้งเงินสำรองสำหรับแต่ละคน โดยทางคณิตศาสตร์ประกันภัยจะเรียกว่า Reserving basis

Pay as you go (จ่ายและเก็บภาษีตามมีตามเกิด)

ลักษณะการบริหารภาษีแบบนี้จะเป็นลักษณะที่เก็บเงินภาษีเข้ามากองไว้ จากนั้นก็จัดสรรงบประมาณส่วนหนึ่งไว้บริหารประเทศและงบประมาณอีกส่วนหนึ่งไว้สำหรับการเลี้ยงดูคนในยามเกษียณ ซึ่งจุดเด่นของวิธีการบริหารแบบนี้คือเป็นการบริหารแบบปีต่อปี ถ้าค่าใช้จ่ายในปีไหนที่ไม่น่าจะพอ ก็จะไปเรียกเก็บภาษีเพิ่มเอา

ถ้าเรามามองในส่วนของภาระเลี้ยงดูของภาครัฐที่มีให้กับประชากรเมื่อยามเกษียณเท่านั้น มันก็เหมือนกับว่า “รุ่นลูก” ที่เป็นประชากรวัยทำงานกำลังทำงานจ่ายภาษีเพื่อไปเลี้ยง “รุ่นแม่” ที่เป็นประชากรวัยที่เกษียณ ซึ่งก็เป็นเรื่องที่เหมาะสม เพราะว่า “รุ่นลูก” ในตอนนี้ ก็จะกลายเป็น “รุ่นแม่” ในอนาคต เพราะฉะนั้น ภาครัฐจึงเป็นตัวกลางที่ทำให้คนวัยทำงานทำหน้าที่เลี้ยงดูคนวัยสูงอายุ และเมื่อคนวัยทำงานเหล่านี้แก่ตัวลงจนกลายเป็นคนวัยสูงอายุเสียเอง ถึงตอนนั้นก็จะมีเด็กที่กลายมาเป็นคนวัยทำงานเพื่อเลี้ยงดูคนสูงอายุแบบนี้ต่อไปในทุกรุ่นทุกยุคสมัย

สิ่งที่ต้องพึงระวังในวิธีการบริหารเงินส่วนนี้ก็คือ “การจัดการสัดส่วนของประชากรวัยทำงานกับวัยสูงอายุ” ให้เหมาะสม เพราะวิธีการแบบนี้เป็นวิธีที่ “คนจ่ายไม่ได้ใช้ คนใช้ไม่ได้จ่าย” โดยคนวัยทำงานที่จ่ายภาษีอยู่นั้นจะไม่ได้รับประโยชน์ในตอนนี้ แต่ก็ได้แต่หวังว่าจะสามารถใช้สวัสดิการที่ตนเองได้จ่ายไว้เมื่อยามที่เกษียณไว้บ้าง ส่วนคนวัยเกษียณที่ได้รับประโยชน์ในตอนนี้ ก็ไม่ได้เป็นคนที่จ่ายภาษีอีกต่อไป

วิธีการนี้ไม่ได้มีการกันเงินสำรองล่วงหน้าระยะยาวเอาไว้ อีกทั้งวิธีการนี้ก็ไม่ได้กำหนดให้แต่ละคนต้องเสียภาษีสะสมไว้ให้มากพอเท่าไร จึงจะนำเงินไปใช้ในยามเกษียณอายุได้ เรียกได้ว่าจ่ายและเก็บภาษีกันตามมีตามเกิด


เนื่องจากประเทศไทยได้ใช้วิธีการแบบ Pay as you go กันข้างต้น และนั่นจึงเป็นที่มาของแนวคิดที่อยากให้คนไทยหันมาแต่งงานและมีลูกกันมากขึ้น เพื่อให้เด็กที่เกิดมานี้กลายเป็นประชากรวัยทำงานที่เสียภาษีเพื่อรองรับกลุ่มคนเกษียณอายุที่ขยายตัวขึ้นอย่างก้าวกระโดดในวันข้างหน้า

แต่สิ่งที่ต้องพึงระวังในแนวคิดแบบนี้ก็คือ การมีลูกมากไม่ได้หมายความว่าจะเก็บได้ภาษีมากในอนาคต ปัจจัยสำคัญคือการสร้างประชากรและโครงสร้างพื้นฐานของประเทศให้มีคุณภาพเสียก่อน มิเช่นนั้น ไม่เพียงแต่รัฐจะจัดเก็บภาษีไม่ได้แต่ยังเป็นการไปสร้างปัญหาให้มีประชากรล้นประเทศมากขึ้นไปอีก และคนเหล่านี้ก็จะกลายเป็นคนเกษียณอายุที่ไม่ได้รับการเตรียมตัวให้วางแผนการเงินกันมาก่อน

นี่คงเป็นปรากฏการณ์ที่เรียกว่าการจ่ายและเก็บภาษีกันตามมีตามเกิดเพื่อการเตรียมตัวสำหรับการเลี้ยงดูคนในยามเกษียณอย่างแท้จริง

·         [ พิเชฐ เจียรมณีทวีสิน (ทอมมี่) – ปัจจุบันดำรงตำแหน่งรองประธานบริษัทเอไอเอ รองนายกสมาคมนักคณิตศาสตร์ประกันภัยแห่งประเทศไทย และประธานคณะอนุกรรมการคณิตศาสตร์ประกันภัยของสมาคมประกันชีวิตไทย ]


วันจันทร์ที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

หน้าต่างประกันภัย – ภาษีคนโสด (ตอน การเตรียมตัวสู่วัยเกษียณ)


หน้าต่างประกันภัย – ภาษีคนโสด (ตอน การเตรียมตัวสู่วัยเกษียณ)

สืบเนื่องจากแนวคิดเรื่องภาษีคนโสดมีออกมาในช่วงที่ประเทศไทยกำลังเข้าสู่ภาวะประชากรสูงอายุที่กำลังเข้าสู่วัยเกษียณเป็นจำนวนมาก ทำให้ภาครัฐไม่สามารถจัดเก็บภาษีได้เพียงพอเพื่อรองรับกับภาระเลี้ยงดูประชากรวัยเกษียณในอนาคต

ในแต่ละประเทศทั่วโลกตอนนี้กำลังพยายามบริหารสัดส่วนประชากรวัยทำงานกับวัยเกษียณให้ลงตัว ในสมัยก่อน หลายๆ ประเทศ (รวมถึงประเทศไทย) จะรณรงค์ให้คนในประเทศตัวเองมีลูกเยอะๆ เพื่อให้เด็กโตออกมาสู่ตลาดแรงงาน ทำให้ประชากรวัยทำงานมากกว่าประชากรวัยเกษียณ และขับเคลื่อนประเทศไปได้เร็วขึ้น แต่ในทางกลับกัน การเพิ่มจำนวนประชากรในประเทศนั้น ก็นำไปสู่ภาวะขาดแคลนทรัพยากรรวมไปถึงระบบการศึกษาเพื่อรองรับประชากรให้มีคุณภาพ ทำให้ในเวลาต่อมาภาครัฐรณรงค์ให้ประชากรคุมกำเนิดและมีลูกน้อยลง

ประชากรวัยทำงานที่มากล้นในสมัยก่อนได้ค่อยๆ ขยับเข้ามาเป็นประชากรวัยเกษียณในอนาคตอันใกล้นี้ ทำให้เราเริ่มเห็นว่าประชากรวัยเกษียณกำลังจะมีมากกว่าวัยทำงานหลายเท่า ซึ่งก็แน่นอนว่าแหล่งรายได้ของภาครัฐนั้นมาจากกลุ่มประชากรวัยทำงาน แต่แหล่งรายจ่ายของภาครัฐนั้นอยู่ที่กลุ่มประชากรวัยเกษียณ เป็นผลให้ประชากรวัยทำงานต้องทำงานเพื่อเสียภาษีให้รัฐมากขึ้น

ทั้งหมดนี้เป็นเรื่องของประชากรศาสตร์ ซึ่งเป็นที่มาของแนวคิดเรื่องภาษีคนโสด เพื่อสนับสนุนให้คนไทยหันมาแต่งงานและมีลูกกันมากขึ้น รัฐจะได้เก็บภาษีจากเด็กกลุ่มที่กำลังจะเกิดมาและเข้าสู่ตลาดแรงงานในอนาคตได้เต็มเม็ดเต็มหน่วย หรืออาจกล่าวอีกนัยหนึ่งก็ได้ว่า รัฐกลัวว่าเด็กกลุ่มที่กำลังจะเกิดมานี้จะต้องช่วยกันทำงานหนักเพื่อรองรับกับภาวะประชากรสูงอายุที่ล้นหลาม การมีปริมาณของเด็กที่เกิดมาในกลุ่มนี้เยอะๆ จึงกลายเป็นหนึ่งในทางเลือกสำหรับทางออกที่ว่านี้

อย่างไรก็ตาม ปริมาณที่ออกมาโดยไม่มีพื้นฐานที่ดีพอมารองรับ ก็อาจจะทำให้เกิดปัญหาต่างๆ ตามมาได้ ไม่ว่าจะเป็นมาตรฐานการศึกษาที่ไม่ดีพอ การโจรกรรม ยาเสพติด หรือแม้แต่การคอรัปชั่น เป็นต้น ดังนั้น การแก้ปัญหาประชากรผู้สูงอายุ (aging population) โดยไปสนับสนุนให้คนแต่งงานมีลูกกันมากขึ้น (เช่น มาตรการภาษีคนโสด) นั้นจึงอาจเป็นเพียงแค่การแก้ปัญหาที่ปลายเหตุเท่านั้น หนำซ้ำยังเป็นการซื้อเวลาเพื่อปัดปัญหาออกไปข้างหน้าเสียอีก เพราะยิ่งประเทศผลิตประชากรกันมากขึ้นเท่าไร คนกลุ่มนั้นก็จะกลายเป็นประชากรสูงอายุเข้าสักวัน และปัญหาก็ยังคงคารังคาซังเหมือนเดิมอยู่ดี ถึงตอนนั้นก็คงจะยิ่งแก้ปัญหากันยากขึ้นจนกลายเป็นภาวะงูกินหางที่ไม่มีที่สิ้นสุด

และเพื่อเป็นการตัดวงจรงูกินหางเหล่านี้ ภาครัฐสามารถเตรียมความพร้อมของคนที่กำลังเข้าสู่วัยเกษียณได้โดยการส่งเสริมการออมสำหรับคนกลุ่มนี้ให้มากขึ้น เพื่อให้แต่ละคนมีเป้าหมายทางการเงินและเก็บเงินสะสมเพื่อยามเกษียณสำหรับตนเอง ซึ่งวิธีนี้น่าจะเป็นการแก้ปัญหาที่ถูกจุดที่สุด และภาครัฐเองยังสามารถใช้เครื่องมือทางภาษีเป็นเครื่องจูงใจและกระตุ้นพฤติกรรมของประชาชนในประเทศได้อยู่เหมือนเดิม เพียงแต่ต้องใช้ให้มีประสิทธิผลและมีวิธีการที่แยบยลมารองรับ (เช่น ค่าลดหย่อนภาษีจากการซื้อประกันชีวิตหรือประกันบำนาญ) แทนที่จะไปเก็บภาษีประชาชนบางกลุ่มเพื่อเร่งผลิตประชากรขึ้นมาเป็นแรงงานในอนาคต

การซื้อประกันชีวิตหรือประกันแบบบำนาญจึงเป็นเครื่องมือทางการเงินที่ดีที่สุดเพื่อการออมไว้ใช้ในยามเกษียณ โดยกลไกการออมเหล่านี้จะกลายเป็นส่วนหนึ่งของการวางแผนทางการเงินในระยะยาวของแต่ละคน อีกทั้งยังเป็นเครื่องมือในการบริหารความเสี่ยงระดับครัวเรือนสำหรับประชาชนในประเทศที่ภาครัฐเล็งเห็นความสำคัญและให้การสนับสนุนมาอย่างต่อเนื่อง

ดังนั้น การเพิ่มเพดานค่าลดหย่อนภาษีจากการซื้อประกันชีวิตหรือประกันบำนาญเพื่อการออมนั้นน่าจะเป็นหนึ่งในทางเลือกที่ได้ผลมากที่สุด แม้ภาครัฐจะขาดรายได้จากการที่เรียกเก็บภาษีได้น้อยลงไปบ้าง แต่ในระยะยาวแล้วภาครัฐเองก็สามารถประหยัดค่าใช้จ่ายในการจัดการปัญหาประชากรผู้สูงอายุที่เพิ่มปริมาณขึ้นมาแบบก้าวกระโดดได้อย่างมีประสิทธิภาพ และที่ได้มากยิ่งไปกว่านั้น คือการจูงใจให้ประชาชนมีวินัยในการออมและนำไปสู่ความพอเพียงเพื่อการเกษียณที่เพียงพอ ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นในสังคมไทยสมัยนี้

และแม้ว่าแนวคิดภาษีคนโสดอาจจะโดนวิพากษ์วิจารณ์จนตกประเด็นไป แต่ถ้ายังแก้ปัญหากันไม่ถูกจุด รับรองว่าอนาคตคงมีคนเสนอนโยบายใหม่ๆ เอาใจประชาชนอย่าง “ลดหย่อนภาษีให้ลูกคนแรก” ออกมาแน่นอน !!!

ถึงเวลานั้นก็คงต้องให้ประชาชนตัดสินใจเองระหว่าง “การลดหย่อนภาษีให้ลูกคนแรก” หรือ “การเพิ่มเพดานค่าลดหย่อนภาษีจากการซื้อประกันชีวิตหรือประกันแบบบำนาญ” ทั้งสองอย่างแก้ปัญหาประชากรผู้สูงอายุได้เหมือนกัน เพียงแต่แบบแรกเป็นการยืดระเบิดเวลาให้ไกลออกไป ส่วนแบบหลังเป็นการแก้ปัญหาระยะยาวอย่างยั่งยืน

ถ้าดูจากลักษณะของความเป็นคนไทย ก็คงพอจะเดากันได้ครับว่า ถ้ามีให้เลือกแล้วอยากจะเลือกแบบไหน?


·         [ พิเชฐ เจียรมณีทวีสิน (ทอมมี่) – ปัจจุบันดำรงตำแหน่งรองประธานบริษัทเอไอเอ รองนายกสมาคมนักคณิตศาสตร์ประกันภัยแห่งประเทศไทย และประธานคณะอนุกรรมการคณิตศาสตร์ประกันภัยของสมาคมประกันชีวิตไทย ]

วันพฤหัสบดีที่ 1 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

หน้าต่างประกันภัย – ภาษีคนโสด (ตอน ภาวะประชากรสูงอายุล้นประเทศ)


หน้าต่างประกันภัย – ภาษีคนโสด (ตอน ภาวะประชากรสูงอายุล้นประเทศ)

แนวคิดเรื่องภาษีคนโสดนั้น จริงๆ แล้วคงจะไม่ต่างอะไรกับการกระตุ้นให้คนในประเทศมีลูกกันมากขึ้น ซึ่งคิดไปคิดมาแล้วมันอาจจะออกมาในรูปแบบอื่นๆ เช่น “นโยบายลูกคนแรก” ที่จะลดหย่อนภาษีให้เมื่อมีลูกคนแรก (กับภรรยาคนแรก) ก็เป็นได้ 

สิ่งที่ทำให้ต้องคิดกันต่อก็คือที่มาของความอยากที่จะทำให้คนมีลูกกันมากขึ้น อาจเพราะเห็นว่าคนไทยในประเทศยังมีน้อยไป หรืออาจเป็นเพราะคิดว่าคนไทยมีนิสัยรักเด็กก็เป็นได้ แต่สิ่งที่เป็นเหตุผลจริงๆ ของที่มาในแนวคิดนี้ก็คือความต้องการให้มีความสมดุลระหว่างประชากรวัยทำงานกับประชากรสูงอายุในอีก 20 – 30 ปี ข้างหน้า นั่นเพราะว่าประเทศไทยกำลังจะประสบกับปัญหาประชากรสูงอายุล้นประเทศในอนาคต !!!

เนื่องจากภาวะประชากรสูงอายุล้นประเทศจะทำให้ภาครัฐไม่สามารถเลี้ยงดูประชากรผู้สูงอายุเหล่านี้ได้ทั้งหมด เงินภาษีที่เก็บมาจากประชากรในวัยทำงานจึงมีไม่พอ ซึ่งจะยังผลทำให้ประเทศชาติไม่สามารถพัฒนาต่อไปได้

ถ้าคิดกันแบบธรรมดาประสาชาวบ้าน เราก็จะมองวิธีการแก้ปัญหาว่าทำได้โดยการไปเพิ่มประชากรวัยกระเตาะเข้ามาในประเทศตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป เรื่องก็น่าจะจบ เพราะจะได้ให้เด็กเหล่านั้นเติบโตมาเป็นทรัพยากรของชาติที่สำคัญในการทำงานและจ่ายภาษีให้ภาครัฐในอนาคต แต่สิ่งที่ไม่จบ(แต่อาจจะนำไปสู่จุดจบ) ก็คือการไม่ยอมคิดต่อไปให้ไกลกว่านั้นว่าจะเกิดอะไรขึ้น ทำให้ปัญหาใหม่ๆ จะเกิดขึ้นตามมาเป็นระลอกคลื่น ยกตัวอย่างเช่น ถ้าไม่คิดถึงระบบที่จะรองรับคนที่จะเกิดมาในอนาคตให้ดีแล้ว มันก็เปรียบเหมือนการออกนโยบายรถคันแรกเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจโดยการไปกระตุ้นให้คนซื้อรถกัน แต่สุดท้ายแล้วเราก็เห็นว่าไม่มีถนนให้ใช้กัน ทำให้รถติดมากยิ่งขึ้น ใช้เวลาบนถนนนานขึ้น และทำงานได้ไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วยแถมยังเปลืองน้ำมันมากขึ้นอีกต่างหาก สุดท้ายก็จอดรถกันไว้เฉยๆ เพราะหาที่จอดรถกันไม่ได้ ถึงแม้ว่าสิ่งที่ตามมาก็คือการที่เงินได้ถูกดึงออกมาจากกระเป๋าของประชากร ซึ่งแน่นอนว่าเศรษฐกิจจะถูกกระตุ้น (หรือจะเรียกว่า “กระตุก” ก็ได้) ได้ในระดับหนึ่ง แต่นั่นก็อาจทำให้กำลังซื้อของประชนเหือดหายไปจากระบบ เพราะประชาชนเป็นหนี้ผ่อนรถกันเสียส่วนใหญ่ และตอนนี้ก็กำลังทำงานผ่อนส่งจ่ายค่ารถ (หรือค่าดอกเบี้ยรถ)ในแต่ละเดือน สุดท้ายเศรษฐกิจก็คงถดถอยไปในที่สุด

กระตุ้นให้มีรถคันแรกกัน à ระบบรองรับไม่ดีพอ à ถนนไม่พอใช้ à รถติด à ใช้เวลาบนถนนนานขึ้น à ทำงานได้ไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วย à เปลืองน้ำมัน à รถจอดไว้เฉยๆ à หาที่จอดรถกันไม่ได้ à ประชาชนเป็นหนี้ผ่อนรถ à ไม่มีเงินซื้อของอย่างอื่น à ประเทศถดถอย       

เฉกเช่นการที่อยากไปกระตุ้นให้คนมีลูกกันมากขึ้น แต่ไม่มีระบบรองรับที่ดีพอ ไม่ว่าจะเป็นการศึกษาที่มีได้รองรับไม่เพียงพอ หรือพ่อแม่มีเวลาดูแลลูกได้ไม่พอ ทำให้นำไปสู่การมีประชากรที่ไม่มีคุณภาพและปัญหาอาชญากรรม ยาเสพติด หรือโจรกรรมตามมา ซึ่งถ้าเป็นอย่างนี้แล้วก็คงไม่ต้องพูดถึงว่ารัฐคงจะเก็บภาษีได้เพราะแม้แต่ประชากรวัยทำงานเองยังไม่มีงานทำ และสิ่งเหล่านี้เองที่ทำให้กลับมาที่ปัญหาเก่าๆ คือภาครัฐมีเงินภาษีไม่พอที่จะไปเลี้ยงดูประชากรผู้สูงอายุ ทำให้ไม่เหลือเงินภาษีไปพัฒนาประเทศชาติได้ และนำพาประเทศให้ถดถอยไปในที่สุด

กระตุ้นให้มีลูกกัน à ระบบรองรับไม่ดีพอ à การศึกษาไม่พอให้ à พ่อแม่ดูแลลูกไม่ดีพอ à บุคลากรของชาติไม่มีจิตสำนึก à ประชากรไม่มีคุณภาพ à ปัญหาอาชญากรรม ยาเสพติด และโจรกรรม à ประชากรวัยทำงานไม่มีงานทำ à รัฐเก็บภาษีไม่ได้ à ไม่สามารถเลี้ยงดูประชากรผู้สูงอายุ à ไม่เหลือเงินภาษีไปพัฒนาประเทศ à ประเทศถดถอย

เหล่านี้เป็นเพียงแต่การจินตนการตามประสาของนักคณิตศาสตร์ประกันภัยที่ไม่ได้มีข้อมูลสถิติหรือตัวเลขมายืนยัน เพียงแต่อาศัยการสังเกตและประสบการณ์จากการประเมินอนาคตเท่านั้น ซึ่งถ้าแนวคิดนี้เกิดขึ้นจริง ก็ได้แต่ภาวนาให้สิ่งที่คาดการณ์ไว้นั้นไม่เป็นจริงครับ

ในมุมกลับกัน ภาครัฐสามารถเตรียมความพร้อมของคนที่กำลังเข้าสู่วัยเกษียณได้โดยการส่งเสริมการออมสำหรับคนกลุ่มนี้ให้มากขึ้น ซึ่งวิธีนี้น่าจะเป็นการแก้ปัญหาที่ถูกจุดที่สุด ทั้งนี้ ภาครัฐสามารถใช้เครื่องมือทางภาษีเป็นเครื่องจูงใจและกระตุ้นพฤติกรรมของประชาชนได้ เช่น การเพิ่มเพดานค่าลดหย่อนภาษีจากการซื้อประกันชีวิตหรือประกันบำนาญ เป็นต้น

·         [ พิเชฐ เจียรมณีทวีสิน (ทอมมี่) – ปัจจุบันดำรงตำแหน่งรองประธานบริษัทเอไอเอ รองนายกสมาคมนักคณิตศาสตร์ประกันภัยแห่งประเทศไทย และประธานคณะอนุกรรมการคณิตศาสตร์ประกันภัยของสมาคมประกันชีวิตไทย ]